สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ยื่นหนังสือร้อง กสทช. เอาผิดช่อง3 จี้ให้นำ “เหนือเมฆ2” กลับมาฉาย และให้ชดเชยเยียวยาการกระทำที่ละเมิดประชาชน พร้อมขีดเส้นตายภายใน 7 วัน ถ้าไม่ดำเนินการจะเดินหน้าฟ้องศาลปกครอง ยังคงมีความเคลื่อนไหวออกมาเรื่อยๆ ในส่วนของกรณีที่ช่อง3 แบนละครเรื่อง “เหนือเมฆ2” ทั้งที่ละครยังฉายไม่จบ โดยให้เหตุผลว่าละครเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ไม่ยอมชี้แจงว่าไม่เหมาะสมยังไง จนโดนสังคมวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นำโดย นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนให้เอาผิดกับช่อง3 มี พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช.และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เป็นผู้รับหนังสือ ซึ่งในการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ทางสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นเรียกร้องทั้งหมด 4 ข้อ กับรายละเอียดดังกล่าวนายศรีสุวรรณ ได้เปิดเผยว่า....
“ผมถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ชมผู้บริโภค และที่สำคัญก็คือการควบคุมดูแลสถานีวิทยุโทรทัศน์ดังกล่าวเป็นหน้าที่ของกสทช.โดยตรง สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เห็นว่ากรณีดังกล่าวเข้าข่ายการละเมิดสิทธิของประชาชนโดยชัดแจ้ง แล้วก็มีความพยายามที่จะออกมาให้ข้อมูลว่า เป็นอำนาจของสถานีโทรทัศน์โดยเข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติ”
“กระผมเองในฐานะเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และ ท่านนายกสมาคมและคณะกรรมการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักกฎหมายได้พิจารณาเห็นแล้วว่าสิ่งที่ผู้แทนจากสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง3ออกมาให้ข้อมูลว่าเป็นการละเมิดผิดพระราชบัญญัตินั้น มองยังไงก็ไม่ใช้ทั้งสิ้น ดังนั้นวันนี้ทางสมาคมเลยต้องขอใช้สิทธิในฐานะผู้ชมด้วยคนหนึ่งในฐานะเป็นองค์กรที่ดูแลปกป้องเจตนารมณ์ซึ่งการกระทำของช่อง3ที่เข้าข่ายผิดข้อรัฐธรรมนูญ จึงได้มาร้องเรียนตามสิทธิของพรบ.ประกอบ จึงจำเป็นขอให้ทางกสทช.ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่4ข้อ”
“ประการที่1ก็คือสั่งให้สถานีโทรทัศน์ช่อง3 นำละครเหนือเมฆ2 ตอน มือปราบจอมขมังเวทย์ ตอนที่เหลืออยู่ทั้งหมด นำออกอากาศตามปกติในวันเวลาเดิม โดยไม่มีการตัดทอนบทหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาใดๆ ประการที่2 สั่งการให้สถานีโทรทัศน์ช่อง3 ชดเชยเยียวยาการกระทำการละเมิดต่อผู้ชมหรือประชาชนดังกล่าวในทันที ตามที่คณะกรรมการกำหนดฯ ภายใต้การเห็นชอบของผู้บริโภค ประการที่3 ตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาเพื่อสอบสวนให้ได้ข้อสรุปโดยด่วนว่า บทละครและหรือเทปวัสดุโทรทัศน์ดังกล่าวทั้งหมดของละครเหนือเมฆ2ทั้งที่ออนแอร์แล้วและยังไม่ได้ออนแอร์มีบทใด ตอนใด หรือเนื้อหาใด ที่เข้าข่ายผิดมาตรา พร้อมเสนอข้อเท็จจริงรายงานต่อสาธารณะชนหรือผู้ชมทราบ”
“ประการที่4 สอบสวนการกระทำละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ชมหรือผู้บริโภค และลงโทษหรือเอาผิดการกระทำดังกล่าวของผู้รับใบอนุญาตหรือสถานีโทรทัศน์ช่อง3 โดยเพิกถอนใบอนุญาตจากผู้รับใบอนุญาต และหรือเรียกคลื่นความถี่หรือสัญญาณการแพร่ภาพของสถานีดังกล่าวกลับมาเป็นของประชาชนโดยทันที ดังนี้ก็ขอรบกวนท่านคณะกรรมการโดยด่วน เราจะขอคำตอบท่านภายใน7วันนับตั้งแต่วันที่ยื่นหนังสือฉบับนี้”
“จริงๆ เราก็เคยยื่นเรื่องมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปทางเฟซบุ๊กของสมาคม ว่าจะยื่นฟ้องกับศาลปกครองในวันที่ 8นี้เวลา10โมง แต่เนื่องจากว่าไปดูข้อกฎหมายมาก็ระบุว่าต้องไปยื่นกับทางกสทช. ก่อน เราจึงมาดำเนินให้ถูกต้อง ผมจึงกำหนดเส้นตายไว้7วัน ถ้า7วันกสทช.ไม่มีคำตอบใดให้กับผู้ชมหรือผู้บริโภคเราก็จะนำเรื่องนี้ไปฟ้องกับศาลปกครอง”
“คือถ้าเราปล่อยให้กสทช. พิจารณา ก็จะเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง เพราะฉะนั้นกสทช. ในฐานะที่เป็นผู้กำหนดดูแล ต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด ที่สำคัญต้องดูเนื้อหาสาระของละครที่ถูกปิดกั้นถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ที่ถูกต้องควรที่จะเปิดโอกาสให้ช่อง3ออกมาแถลงหรือให้ข้อมูลมากกว่าที่จะให้กสทช. ออกมาให้ข้อมูลแทนผู้ที่ทำให้เกิดกรณีนี้ขึ้นมา”
“ผมคิดว่าผมเองก็ไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายเป็นตัวเลขได้ ในเมื่อพรบ.ประกอบกิจการวิทยุ ว่ากสทช. มีหน้าที่พิจราณาค่าชดเชยเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวได้ครับ ค่าเยียวยาก็อยู่ที่กสทช.กำหนดว่าจะไปอยู่ในวิธีการใดจึงจะเหมาะสมมากกว่า”
“ตอนนี้ผมเหมือนเข้ามาอยู่ในอุโมงค์มืดยังไม่เห็นแสงสว่าง ต้องขอความยุติธรรมจากศาล เพราะเชื่อมั่นในกสทช.ในฐานะที่เป็นตัวแทนภาคประชาชนจะได้คำตอบที่ชัดเจนให้กับประชาชนเพราะบางกลุ่มเป็นคนที่ดูช่อง3และสนับสนุนรักอย่างกลมเกลียว อย่าลืมว่าละครช่อง3ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นแรงเงา หรือดอกส้มสีทองที่เป็นที่ฮือฮาสิ่งสำคัญคือตอนนี้ชาวบ้านต้องการรู้ว่าสรุปแล้วเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าผิดตามมาตราซึ่งผมเองและคณะกรรมการก็ดูแล้วก็ไม่เห็นคำหรือเจตนารมณ์ในวรรคใดหรือตอนใดที่ไปเข้าข่ายผิดตามมาตราใดเลย”
“ก็จะไม่ไปยื่นที่ช่อง3เพราะเป็นเอกชนผมไม่อยากไปแตะต้อง เราอาศัยอำนาจรัฐที่มีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงมากกว่า สคบ.ก็ไปมาวันนี้ประเด็นเดียวกัน แต่สคบ.ต้องอาศัยอำนาจตามพรบ.ที่มีหน้าที่กำกับดูแลสิทธิผู้บริโภคตามพรบ.ความคุ้มครอง ทางสมาคมก็ยื่นจดหมายไปโดยตรงแต่ส่งจดหมายไปแทนให้ดำเนินการภายใน7วันเช่นกัน ถ้าทางสคบ.ไม่ดำเนินการก็จะไปยื่นฟ้องในศาลปกครองต่อไป”
“ต้องเข้าใจว่าละครของช่อง3นั้นก่อนที่จะมาออนแอร์จะต้องมีการส่งบท อ่านบท แล้วก็ทำสต็อก เพราะฉะนั้นที่จะมาอ้างว่าเป็นการเข้าข่ายล้มล้างหรือทำลายระบอบประชาธิปไตยกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงผิดจริยธรรมหรือคุณธรรมผมคิดว่ามันไม่ถูกไม่ตรงเลยกับเจตนารมณ์ และที่สำคัญคือทางกสทช.มีอำนาจสามารถที่จะรู้ลึกข้อมูลซึ่งคณะกรรมการเอง ควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบดูแล ว่ามีโทรศัพท์พิเศษจากไหนในประเทศหรือนอกประเทศหรือเปล่าถูกหลักการใช่หรือไม่เพราะเขามีอำนาจในการดูแลคลื่นโทรคมนาคมหรือคลื่นวิทยุต่างๆ ส่วนประชาชนคนใดที่สนใจก็ต้องติดตามอีก7วันถ้า7วันกสทช.ไม่มีการแถลง ก็มาลงชื่อกับสมาคมแล้วไปเจอกันที่ศาลปกครอง”
ด้าน นายนันธวัฒน์ ปรารภกุล นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เผยเพิ่มเติมว่า...
“จริงๆแล้วสมาคมมีหน้าที่ปกป้องสิทธิของประชาชน เราคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา ครั้งนี้ที่ออกมาเพราะการละเมิดสิทธิของประชาชนที่มีสิทธิรับชมข่าวสาร แต่ครั้งนี้เหมือนเป็นการตบหน้าประชาชน ฉะนั้นการกระทำครั้งนี้เหมือนเป็นการทำลายจิตใจ ในเรื่องของความรู้สึกนั้นตีค่าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นครั้งนี้ละครเรื่องเหนือเมฆ ทางสมาคมจะไม่ปล่อยให้หายเข้าไปในกลีบเมฆ”
ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช.และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ได้ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า...
“จะให้ภายใน7วัน ก็ต้องมีลายละเอียดที่ครบถ้วนก่อน และผ่านคณะกรรมการ เพราะตอนนี้ยังไม่พิจารณา ขอไปพิจารณาก่อนเพื่อหารายละเอียดต่างๆ มาประกอบในการพิจารณา ถือหลักในการเยียวยา เป็นการตกลงระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบกิจการ แต่กสทช.เหมือนเป็นผู้ดำเนินกลางมีหน้าที่ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่สุดต้อง”
ที่มา: manager.co.th