Canon EOS 1D C กล้องดิจิตอลถ่ายภาพ ที่สามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 4K จะถูกนำมาใช้งานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปี 2013กล้องแอนดรอยด์รุ่นต่อไปในปี 2013 จาก Polaroidกล้องดิจิตอลยุคใหม่ต้องมี WiFi ในตัวพร้อมแอปฯ จากสโตร์ให้เลือกใช้งาน ปี 2012 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงจากระบบเก่าไปใหม่มากที่สุด โดยเฉพาะวงการกล้องติจิตอลถ่ายภาพที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องฟีเจอร์ที่เพิ่มมากขึ้นจนเกินความคาดหมายของนักถ่ายภาพไปพอสมควร โดยการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับวงการกล้องดิจิตอลปี 2012 ก็คือการผนวกระบบ WiFi และ DLNA เข้ารวมกับกล้องดิจิตอลเช่น Samsung WB150F หรือ Canon 6D เพื่อช่วยให้การแชร์ไฟล์ภาพไปยังสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ที่รองรับต่างๆ ทำได้รวดเร็วขึ้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของกล้องดิจิตอลถ่ายภาพในปี 2012 ที่ยังคงมีการพัฒนาต่อเนื่องไปจนถึงปี 2013 พร้อมกำเนิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงอีกมาก
1. การมาของกล้องแอนดรอยด์เต็มรูปแบบ ปี 2012 กล้องดิจิตอลคอมแพกต์ Samsung Galaxy Camera และ Nikon S800C สามารถสร้างปรากฏการณ์แอนดรอยด์คาเมร่าได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะ Samsung Galaxy Camera ที่สร้างความโดดเด่นเหนือชั้นกว่าทุกค่ายด้วยสเปกกล้องกับซีพียู QuadCore พร้อมแอนดรอยด์ 4.1 Jelly Bean กับความสามารถในการติดตั้งแอปฯ จาก Google Play Store ได้แบบเดียวกับสมาร์ทโฟน รวมถึงสามารถเล่นเฟสบุ๊ก อินสตาแกรม และแอปฯ อื่นๆ จนแทบจะกลายเป็น Camera Smart Phone ที่ประสบความสำเร็จในด้านการผสมผสานที่ลงตัวไม่ใช่น้อย
และด้วยผลตอบรับที่ดี ก็ไม่แปลกที่ในปีนี้เราจะได้เห็นกล้องดิจิตอลในร่างแอนดรอยด์ออกวางตลาดอีกเป็นจำนวนมาก เช่น Polaroid IM1836 เป็นต้น เพราะในเรื่องความยืดหยุุ่นในการใช้งานที่มากกว่ากล้องดิจิตอลทั่วไป รวมถึงความสามารถของระบบที่ช่วยสานฝันให้นักถ่ายภาพชอบแชร์ชอบโพสต์รูป ชอบตกแต่งภาพสามารถทำได้ง่ายและเสร็จหลังกล้องได้อย่างรวดเร็ว
2. สัมผัสฟูลเฟรมได้ใกล้ชิดขึ้น ความฝันของนักถ่ายภาพฉบับดิจิตอลก็คือการได้ใช้กล้องเซนเซอร์ฟูลเฟรมขนาดเท่าฟิล์ม 35 มิลลิเมตรถ่ายภาพเพราะได้ระยะเลนส์จริงๆ และให้มิติภาพที่สวยงามกว่ากล้องตัวคูณ แต่ปัญหาติดอยู่ที่กล้องฟลูเฟรมราคาแพงและส่วนใหญ่ราคาแตะหลักแสนบาทขึ้นไป
แต่ในปี 2013 เหล่าบรรดาผู้ผลิตกล้องชั้นนำของโลกไม่ว่าจะเป็น Sony, Nikon, Canon, Ricoh ต่างกำลังสนใจพัฒนากล้องถ่ายภาพทั้งมิเรอร์เลสหรือดีเอสแอลอาร์ฟูลเฟรมในราคาที่ถูกลงเพื่อเจาะกลุ่มตลาดผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ นิคอนที่ได้เปิดตัว Nikon D600 และวางขายแล้วด้วยราคา 72,500 บาท หรือแม้แต่ Canon EOS 6D ที่เปิดตัวในราคา 69,900 บาท ยังไม่นับรวมถึงกล้องจาก Pentax Ricoh, Sony และ Sigma ที่มีแผนจะเปิดตัวกล้องฟูลเฟรมขนาดเล็ก ราคาไม่แพงเกินผู้ใช้ทั่วไปจะสัมผัสได้
รวมถึงตลาดกล้องดิจิตอลฟูลเฟรมในปี 2013 คงคึกคักและมีการแข่งขันกันสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนๆ และอาจเกิดสงครามเมกะพิกเซลขึ้นระหว่างค่ายผู้ผลิตต่างๆ จนอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ชื่นชอบไฟล์ดิบ (RAW File) ในเรื่องขนาดไฟล์ที่ใหญ่มหึมาจนต้องหาคอมพิวเตอร์แรงๆ ในการประมวลผล
ยกตัวอย่างเช่นกล้องฟูลเฟรมมแบรนด์หนึ่งถ่ายภาพได้ 36.3 ล้านพิกเซล เมื่อถ่ายคุณภาพไฟล์ RAW จะมีขนาดใหญ่ถึง 74-80MB ซึ่งลองคิดดูว่าต้องใช้คอมพิวเตอร์แรงขนาดไหนถึงจะประมวลผลภาพไฟล์เหล่านั้นได้เร็วขึ้น
3. กล้องดิจิตอลทุกรุ่นต้องมี WiFi เป็นสิ่งที่แทบไม่ต้องคาดการณ์ใดๆ เพราะนี่คือเทรนด์ของกล้องดิจิตอลยุคหน้าต้องมีการผนวก WiFi มาทุกรุ่น เพราะปัจจุบันถึงแม้กล้องในหลายรุ่นหลายแบรนด์ที่วางจำหน่ายในปีหน้าจะยังไม่เลือกแอนดรอยด์เป็นระบบขับเคลื่อนหลัก แต่อย่างน้อยกล้องดิจิตอลต้องมีความเป็น Smart Camera อยู่ในตัว ด้วยเหตุผลของกระแสแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงพฤติกรรมการใช้กล้องถ่ายภาพของคนในยุคใหม่จะเน้นถ่ายเสร็จ แต่งภาพและแชร์ให้จบในครั้งเดียว
เพราะฉะนั้นทางรอดอย่างเดียวของธุรกิจกล้องถ่ายภาพในปีหน้าคือ แบรนด์ต่างๆ เริ่มหันมาผลิตกล้อง WiFi ให้ออกมาครอบคลุมทุกตลาด ซึ่งหมายรวมถึงความสามารถในการใช้ DLNA และมีสโตร์ซื้อขายแอปฯ สำหรับตกแต่งภาพหลังกล้องอย่างเช่น Sony มีสโตร์ Sony Entertainment Network ในกล้อง NEX 6 และ 5R รุ่นใหม่ เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ถ้ากล้องดิจิตอลติด WiFi เข้ามาตีตลาดในปีหน้ามากขึ้น อาจส่งผลให้การ์ดความจำประเภท WiFi SD Card มียอดขายที่ต่ำลงได้
4. ถึงเวลา DSLR รวมกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา แคนนอนพยายามปฏิวัติกล้อง DSLR ของตนในเรื่องการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงเป็นเจ้าแรกในตลาด DSLR จนปัจจุบันมีผู้ใช้จำนวนมากนำกล้อง DSLR มาใช้ถ่ายทำรายการทีวีหรือภาพยนตร์สั้นต่างๆ มากมาย รวมถึงเทคโนโลยีและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 1,920x1,080 พิกเซล ที่ความเร็วเฟรมเรต 60 เฟรมต่อวินาที พร้อมด้วยระบบขจัดสัญญาณรบกวน (Noise) ที่ทำได้ดีแม้แสงน้อย
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้กล้องดิจิตอล DSLR มีโอกาสเติบโตในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศหลายเรื่องเริ่มเลือกใช้กล้อง DSLR ให้เป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทำฉากภาพยนตร์ในบางมุมกล้องที่กล้องตัวใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ อย่างเช่นภาพยนตร์เรื่อง The Avengers ที่ใช้กล้อง Canon EOS 5D Mark II และ Canon 7D ในการถ่ายฉากระเบิดบางฉาก หรือแม้แต่เรื่อง 127 Hours ที่แทบจะยึดกล้อง Canon EOS 5D Mark II และ Canon 7D เป็นอุปกรณ์หลักในการถ่ายทำประกบ Silicon Imaging SI-2K ซึ่งคุณภาพที่ออกมาเมื่อถูกพอร์ตสู่กระบวนการ Digital Cinema แล้วพบว่าภาพที่ได้ไม่แตกต่างจากกล้องใหญ่มากนัก
แต่ในปี 2013 แคนนอนกำลังเป็นผู้นำตลาดกล้อง DSLR เข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์แบบเต็มรูปแบบอีกครั้งกับ EOS-1D C ที่ถือเป็น DSLR ฟลูเฟรมรุ่นบิ๊กสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน กับความสามารถในการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงถึง 4K (4,096 x 2,160 พิกเซล) และคาดการณ์ว่าในปีหน้าคงได้เห็นกล้องรุ่นใหม่นี้ได้โชว์ศักยภาพบนจอภาพยนตร์ให้เราได้เห็นกันแพร่หลายมากขึ้น
และนี่คือ 4 เทรนด์กล้องดิจิตอลในปี 2013 ที่น่าสนใจและถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เพราะจากเดิมกล้องดิจิตอลคืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บภาพบันทึกความทรงจำส่วนตัว แต่ในปัจจุบันกล้องดิจิตอลสามารถตกแต่งภาพด้วยแอปพลิเคชัน รวมถึงสามารถใช้งานในระดับ Production ใหญ่ๆ ด้วยข้อดีคือขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แต่ประสิทธิภาพที่ได้นั้นสูงอย่างน่าเหลือเชื่อ
ที่มา: manager.co.th