เจมาร์ท ยกระดับหน้าร้านมุ่งสู่ระดับพรีเมียมนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา เชื่อเฮ้าส์แบรนด์มีสิทธิ์ตายในอนาคตสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต เตรียมบูมถึงขีดสุด หลัง 3G เดินหน้าเต็มกำลัง เจมาร์ททุ่ม 200 ล้านบาทปรับปรุงชอปทั่วประเทศ ประเดิม 10 ล้านบาทยกระดับแบรนด์พรีเมียมสาขาสยามพารากอน ชูมาตรฐานบริการ JQS มัดใจลูกค้า เจาะตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตบูมรับ 3G คาดสิ้นปี 56 เจมาร์ทมีรายได้ทะลุหมื่นล้านบาทจาก 280 ชอปทั่วประเทศ นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เจมาร์ทจะปรับปรุงชอปสาขาสยามพารากอนให้มีความแตกต่างจากรูปแบบเดิม โดยเฉพาะในเรื่องของสินค้าที่จะเน้นสินค้าระดับไฮเอนด์ อย่างโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนหลากหลายรุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ 'Smartphone&Tablet' เป็นการนำร่องก่อนที่จะดำเนินการปรับปรุงในสาขาอื่นๆ
การรีโนเวตชอปที่สยามพารากอนครั้งนี้ใช้งบมากกว่า 10 ล้านบาท โดยจะมีการเพิ่ม Gadget Zone ที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เพิ่มโซนใหม่ เจคลับ (Jclub) เพื่อเป็นมุมพักผ่อนสำหรับลูกค้า มีบริการน้ำดื่ม กาแฟ นิตยสาร และไว-ไฟฟรี สร้างความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าเมื่อมาใช้บริการ รวมทั้งมีแผนเปิดชอปไฮเอนด์ในปีหน้าอีก 10 แห่ง โดยจะเน้นสินค้าระดับพรีเมียม รวมไปถึงการเพิ่มสัดส่วนสินค้าอย่างไอโฟน ไอแพดมากขึ้น โดยจะเน้นปรับปรุงในสาขาที่เจมาร์ทมองเห็นว่าผู้บริโภคมีกำลังซื้อและมีความต้องการสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การปรับปรุงชอปและบริการต่างๆ เนื่องมาจากเจมาร์ทมองว่าในปีหน้าตลาดสมาร์ทโฟนจะมีการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะ 3G บนความถี่ 2.1 GHz ที่น่าจะผลักดันให้ยอดตลาดรวมของสมาร์ทโฟนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 20 ล้านเครื่อง มากกว่าปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขาย 15 ล้านเครื่อง เจมาร์ทในฐานะตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือแบบครบวงจรจึงต้องปรับปรุงและพัฒนาชอปให้มีความทันสมัยด้วยการเน้นจำหน่ายสินค้าโทรศัพท์ประเภทสมาร์ทโฟนมากขึ้น โดยปัจจุบันยอดขายสมาร์ทโฟนของเจมาร์ทมีสัดส่วนสูงถึง 80% ที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ในส่วนของสินค้าเฮาส์แบรนด์ของเจมาร์ทเองจะยังมีจำหน่ายอยู่ แต่ไม่เน้นเรื่องการขายมากนัก เนื่องจากแนวโน้มตลาดจะมุ่งที่ไปอินเตอร์แบรนด์มากกว่า ซึ่งคาดว่าในอนาคตสินค้าเฮาส์แบรนด์จะตายไปในที่สุด โดยเฉพาะปัจจัยเสริมอยู่ที่การนำเข้าสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตราคาถูกที่โอเปอเรเตอร์ต่างๆ นำเข้ามากระตุ้นตลาดหลังจากเปิดให้บริการ 3G ความถี่ 2.1 GHz เพื่อเป็นการผลักดันให้ลูกค้าก้าวเข้าสู่เน็ตเวิร์กใหม่มากขึ้น
“ในส่วนของการให้บริการ ระหว่างชอปปกติกับชอปไฮเอนด์จะเหมือนกัน เพียงแต่จะแตกต่างกันตรงที่สินค้าที่ขายในชอปไฮเอนด์จะมีเฉพาะแท็บเล็ตกับสมาร์ทโฟน รวมไปถึงแอ็กเซสซอรี ส่วนในชอปปกตินั้นจะมีสินค้าทุกชนิดขาย ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์โฟน หรือสินค้าระดับแมสต่างๆ แต่ในส่วนของสินค้าไอที เจมาร์ทจะไม่ได้จำหน่ายเนื่องจากมองว่าการเติบโตไม่สูงมากนัก และสมาร์ทโฟนจะสร้างกำไรให้มากกว่า”
เจมาร์ทยังใช้งบประมาณ 5 ล้านบาทในการพัฒนาบริการใหม่ขึ้นมาภายใต้ชื่อ Jaymart Quality Service (JQS) ซึ่งเป็นการพัฒนาบริการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกสาขาเพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ดีขึ้น โดยภายในปี 2556 เจมาร์ทมีแผนดำเนินการรีโนเวตชอปและเปิดสาขาใหม่ โดยตั้งเป้าจะเปิดชอปใหม่เพิ่มอีก 60 สาขาภายในปีหน้า รวมมีชอปให้บริการทั้งหมด 280 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 220 สาขาในปีนี้ ด้วยงบประมาณในการปรับปรุงสาขาและเปิดชอปใหม่กว่า 200 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์กล่าวปิดท้ายว่า ปีนี้เจมาร์ทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 8,000 ล้านบาท หรือเติบโต 30% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 6,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากโทรศัพท์มือถือประมาณ 1.2 ล้านเครื่อง หรือ 7,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์และธุรกิจอื่น โดยหลังจากการปรับปรุงสาขาและรีโนเวตเพิ่มเติม เจมาร์ทคาดว่าจะทำให้ยอดขายในปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนในธุรกิจมือถือประมาณ 90% และที่เหลือเป็นธุรกิจอื่นๆ อย่าง JMT และ JS Asset
Company Related Link :
JayMart
ที่มา: manager.co.th