Author Topic: “ดีเจเจ๊แหม่ม” หัก “เจ๊ฉอด” ออกจากเอไทม์ จวกคนเส็งเคร็งไม่เห็นคุณค่า  (Read 770 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


       “ดีเจเจ๊แหม่ม” ลาออกจากเอไทม์ เบื่อคนเส็งเคล็ง บรรยากาศเส็งเคร็ง เข้าไปคุยปัญหากับ “เจ๊ฉอด” แล้วแต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไข ขอไปทำงานกับคนที่เห็นคุณค่าดีกว่า ยันไม่ได้เนรคุณเพราะไม่ใช่เอไทม์ที่เดียวที่ทำให้ดัง
       
       อัดอั้นตันใจมานานเลยทีเดียวสำหรับ “ดีเจเจ๊แหม่ม” วินัย สุขแสวง ดีเจคลื่นกรีนเวฟของค่ายเอไทม์ ที่ถึงแม้จะทำงานกับที่นี่มา 20 ปี แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจาก เพราะทนความเส็งเคร็งของคนในองค์กรไม่ไหว แม้จะมีการเข้าไปพูดคุยกับ “เจ๊ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” บอสใหญ่เอไทม์ถึงปัญหาดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่พอผ่านไป 2 เดือนผู้บริหารใหญ่ก็ยังไม่แก้ไขปัญหาให้ซักที งานนี้เจ๊แหม่มเลยขอลาออกซะเลย ขอไปทำงานกับคนที่เห็นคุณค่าและให้เกียรติตัวเองดีกว่า ลั่นไม่ได้เนรคุณเอไทม์ เพราะคนที่ทำให้ดังไม่ใช่เอไทม์ที่เดียวเพราะตอนทำงานกับหลายบริษัท และทุกที่ก็มีส่วนผลักดัน
       
       “จริงๆ ปัญหามันก็มาจากคราวก่อนนั่นแหละ เรามีปัญหากับคนที่ประสานงาน ที่ผ่านมาทำงานที่นี่มา 20 ปีก็เจอปัญหาอะไรต่างๆ เบี้ยบ้ายรายทางก็แก้กันไป แก้ไม่ได้ก็ผ่านไป ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เราพอมีอะไรที่สบายใจมากกว่าทำ เช่น ธุรกิจส้มตำ เครื่องสำอางค์ แฟชั่นเฮาส์ ละคร รายการทีวี คิดว่าจะมาดูแลตรงนี้ดีกว่า พอเรามีสิ่งเหล่านี้ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น”
       
       “งานวิทยุไม่ใช่ไม่รักแฮบปี้ ถ้าจัดรายการอยู่สิ่งที่อยากทำก็บริหารได้ แต่มาเจอปัญหาเรื้อรังแต่ไม่ได้รับแก้ไขจากหัวหน้างานของเรา(เจ๊ฉอด) หรืออาจแก้ไขอยู่ แต่เรายังต้องเผชิญอยู่ทั้งที่เขา(คนประสานงาน)ไม่ใช่เจ้านายเรา ปะทะเราโดยตรง ทั้งที่เราก็อยู่แบบสวยๆ เฉยๆ นิ่งๆ แต่ทุกอย่างดูเฉยไปด้วย งั้นก็เอาง่ายๆ ตัดสินใจลาออกเพราะอยากตื่นมาทำงานสบายใจ ไม่ใช่ตื่นมาต้องเจออะไรอีกมาวุ่นวายกับฉัน”
       
       “ปัญหาหลักๆ คือคนประสาน คนๆ นี้จะมีหน้าที่ตัดสินใจหาคนโน้นคนนี้มาเสียบถ้าดีเจไม่มา ก็ถามพี่ฉอดเหมือนกันว่าเป็นมือขวาหรือเปล่า ทำอะไรได้ไหม ไม่ได้ต้องทำคนๆ นี้ออก แต่พี่ช่วยจัดการกับคนๆ นี้ได้ไหม พี่ฉอดก็บอกว่าเป็นคนเก่าคนแก่ที่ดูแลกันมาพี่สงสารเขา เราก็บอกไม่ได้ต้องการให้เค้าออก แต่ทำไงก็ได้ไม่ต้องให้มาประสานงานกับหนู พี่ฉอดก็บอกว่าคนๆ นี้ก็มีปัญหากับแบบนี้กับดีเจอีกหลายคน เขาก็บอกพยายามแก้ไขอยู่ ทำอะไรก็มีกฎหมายเรื่องแรงงาน”
       
       “เราเป็นคนทำงานไม่มีปัญหากับใคร ทำงานมานานรู้ว่าพูดจากับคนสำคัญ แต่คนๆ นี้เขาแบบขอคิวล่วงหน้า 30 นาทีจะต้องมีงาน เราบอกทำไมไม่บอกล่วงหน้าเพราะเราต้องเสื้อผ้าหน้าผม แต่เขาต้องการปิดจ็อบงานตัวเองต้องการเอาเราไปให้ได้เขาก็จะได้ทำงานจบแต่เขาไม่นึกถึงเรา ดีเจทั้งหมดดูแลโดยคนนี้ เด็กๆ ก็จะพินอบพิเทาเขาเรียกว่าแม่ แต่เราไม่ได้นับถือหรือเรียกเขาว่าแม่ ไม่รู้เพราะเรื่องนี้หรือเปล่าถึงทำให้มีปัญหา”
       
       “ก็มีปัญหากันมาเรื่อย แต่ที่มันสุดๆ คงต้องเป็นตอนที่เราลาป่วยไม่มีเสียงจัดรายการ ก็บอกว่าฝากด้วยนะไม่มีเสียงจัดรายการ พอลาไปอีกวันหนึ่งไปจัดกลับมาบ้านเสียงหายอีกก็โทรไปบอกขอลาอีก เขาก็บอกอะไรเป็นอะไรลาอีก 1 วัน ลาวันเว้นวันเลยนะ เราก็เอ๊า..หัวหน้าก็ไม่ใช่ ฉันทำงานกับคุณสายทิพย์ไม่ค่อยลาป่วย ไปดูสถิติเลยถ้าไม่เข้าโรงพยาบาลไม่ลา ตรงนี้มันก็เป็นปัญหาที่ตัดสินใจง่ายขึ้น”
       
       “การแก้ปัญหาของที่ทำงานก็ไม่ตอบโจทย์ ทั้งที่เป็นเรื่องเห็บเหาทำไมคาราคาซังอยู่ ไม่รู้สิถ้าเราเป็นเจ้านายคนก็จะใส่ใจเป็นพิเศษ เราทำงานมา 20 ปีถ้าทำงานไม่ดีเขาก็คงไม่เอาเราไว้ขนาดนี้หรอก เงินเดือนขึ้นเดือนละกี่ร้อยบบาท ชั่วโมงขึ้นชั่วโมงละ 10 บาทไม่เคยรู้ไม่เคยสนใจเลย เราสนุกกับการทำงาน แปลว่าเงินไม่ได้ตอบโจทย์ แต่พอมีคนๆ หนึ่งมาทำกับเราแบบนี้ ทั้งที่เราพยายามแก้ไขตัวเองพยายามนิ่งมันก็ยิ่งเอาใหญ่ งั้นง่ายสุดตัดสินใจลาออก เราจะได้มีเวลามาใส่ใจกับคนที่เราใส่ใจเราจริงๆ แฟนคลับ รายการอื่นๆ ที่จ้างเรามาออก”
       
       “เรื่องนี้มีการคุยไปแล้วรอบหนึ่งว่าจะลาออกซัก 2 เดือนที่แล้ว และตอนนี้ก็คุยกับที่หัวหน้าเอ็กเซ็กคูลซีฟไว้แล้วว่า ฝากบอกด้วยลาออก เขาก็ถามว่าปัญหาเดิมหรือเปล่า ก็บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้แต่ไม่ได้เดินออกเพราะคนๆ เดียวมันเห็บเหา แต่ออกไปเพื่อไปหาคนที่เห็นคุณค่าเราดีกว่า เห็นคุณค่าของกันและกัน พูดจาดีๆ กับเรา”
       
       “ตลอดเวลาที่ผ่านมาโดนแบบนี้ตลอดก็บริหารจัดการอารมณ์ของตัวเองมาตลอดว่าอย่าได้แคร์ จนในที่สุดมาคิดตัดสินใจได้ง่ายขึ้น 3 เดือนที่แล้วว่าจะลาออกจริงหรือไม่จริง ณ โมเม้นต์นั้นกับคนที่เป็นหัวหน้าควรต้องคิดมากขึ้นว่า น้องจะต้องทำงานแบบนี้กับคนประสานงานที่ไม่ใช่หัวหน้าโดนถากถางแดกดัน ประชดประชัน จะทำยังไงดีลำบากใจหรือเปล่า”
       
       “มันไม่ไหวอ่ะ พอเรานิ่งเขาชก พอไม่พูดชกใหญ่ พอเราขึ้นมาบ้างชกกลับไปก็นิ่งกลับมา พอเรานิ่งก็ชกอีก จะแสดงพาวเวอร์หรืออะไรก็ไม่รู้ เขาโชคดีที่เจอเราไม่ได้ตอบโต้อะไรมากมาย เราเลือกที่จะใช้วิธีเหมือนเจ้านายสอนมองข้ามไปทำไมมันมามีอิทธิพลกับชีวิตเรา แต่ง่ายสุดบอกแล้วรายงานปัญหาแล้วไม่มีอะไรคืบหน้า เราต้องตัดคนที่มีอิทธิพลกับการทำงานดีกว่า เอาตัวเราออกมาง่ายกว่า”
       
       “ซึ่งการทำแบบนี้มันก็จะตอบโจทย์ที่พี่ฉอดบอกว่า พนักงานคือเฟืองที่หมุนไปข้างหน้า ถ้าเฟืองหยุดเขาก็มีเฟืองใหม่มาเสียบ ก็เป็นไปตามการทำงาน งั้นไม่เป็นไรตัดสินใจลาออก เจ้านายบอกจะแก้ไข อาจกำลังทำอยู่ แต่มัน 2 เดือนผ่านไปแล้ว แต่คนนี้ยังมีอิทธิพลกับเราต้องประสานงาน เขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนมีปัญหา เราคิดง่ายๆ ออกเลยละกัน เอาพลังดีๆ ที่มีอยู่เอามาทำงานที่ตัวเองรัก ทำให้คนที่เห็นคุณค่าให้เกียรติเราจะดีกว่า”
       
       “พี่ฉอดบอกว่าทำงานกับพี่ฉอดมา 20 ปีนอนเซ้นทำไมคนๆ หนึ่งมีอิทธิพลกับเรา ก็นอนเซ้นส์แหละไม่เป็นไร ฟีดแบคปัญหาไปแล้วก็ยังไม่มีอะไรก็ออกไปดีกว่า ดีกว่าเจอคนที่ไม่ใช่หัวหน้าพูดจาแบบนี้ หรือหัวหน้าไม่เห็นทำอะไรเลย ไปหาคนที่เห็นคุณค่าดีกว่า ไม่ใช่เอาแต่ผลประโยชน์กับเราอย่างเดียว”
       
       “ตอนนี้ยังไม่มีวิทยุที่ไหนมาทาบทามเลย ไม่ใช่ได้งานใหม่แล้วออกเลย แต่ออกเพราะอยากได้ความสบายใจจริงๆ อยู่ที่ไหนก็ได้แล้วสบายใจ ล่าสุดชมพู่ อารยาก็โทรมาเพราะเห็นข่าว ก็บอกพี่ตัดสินใจดีๆ ก็บอกเออ...ฉันตัดสินใจดีแล้ว ก็คงไม่ต่างที่แกตัดสินใจย้ายจากช่องหนึ่งมาอีกช่องหนึ่งเพราะแกก็อยากจะสบายใจเหมือนกันใช่ไหม ชมพู่ก็บอกพี่พูดถูก และก็พูดมาคำนึง คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก”
       
       “ไม่อยากจะบอกว่าพี่ฉอดเขาเลือกฝั่งโน้นหรือเปล่า เขาอาจพยายามจัดการแก้ไขปัญหาฝั่งโน้นอยู่ เราตอบแทนเขาไม่ได้จริงๆ เขาอาจแก้ไขปัญหาอยู่มั๊ง แต่เราก็รอไม่ได้แล้วมั๊ง เพราะไม่รู้จะได้คำตอบเมื่อไหร่ เราเหมือนรถที่ต้องการน้ำมัน เราจะให้รถหยุดไม่ได้ ต้องหาน้ำมันมาเติมให้เหมาะกับยานยนต์ของเราจริงๆ”
       
       “ตอนนี้ยังไม่มีสังกัดจะออกมาเป็นฟรีแลนด์ มาทำงานร่วมได้กับทุกองค์กร สำหรับอาชีพดีเจเรารักเป็นสายเลือดรักมากไม่มีวันไหนที่ไม่อยากตื่นมาทำงาน อยากมาตื่นให้เร็วที่สุดมาจัดรายการ แต่พอมีปัญหาแล้วแบบอยากตื่นมาทำงานให้ดีที่สุดและไปให้เร็วที่สุดไปจากบรรยากาศเส็งเคร็งให้เร็วที่สุด คนเส็งเคร็งให้เร็วที่สุด เพราะเราไม่ได้ทำแค่งานเดียว จบงานนี้ต้องไปทำงานอื่นต่อทำให้พลังในการไปทำงานต่อมันหมด ก็เลยไม่ไหวแล้วมันหมดพลัง แต่พูดเลยว่าอนาคตเราจะไม่ทิ้งอาชีพดีเจแน่นอน เพราะเป็นอาชีพที่เรารักและคนทั่วไปรักเราเพราะอาชีพนี้ เราไม่มีทางเนรคุณกับอาชีพนี้แน่นอน ย้ำนะครับเฉพาะอาชีพ”
       
       “ถามว่าทำแบบนี้มันเนรคุณกับองค์กรหรือเปล่า ก็อยากจะบอกว่าทุกวันนี้องค์กรโตขึ้นไม่ใช่องค์กรการกุศล เขาจ้างงานเราเราเป็นลูกจ้าง เราทำงานให้ซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมาเนรคุณไหม เราว่าไม่เนรคุณ แต่ถ้าคนจะมองว่าเราเนรคุณเพราะมีชื่อเสียงและลาออก บริษัทอื่นๆ ก็จะน้อยใจนะเพราะไม่ได้ทำงานที่นี่ที่เดียว เพราะคนที่ทำให้เป็นเจ๊แหม่มมีหลายบริษัทหลายรายการ หนังสือพิมพ์อีกหลายเล่มที่ลงข่าวเรา เพราะถ้าจะเนรคุณก็คงเนรคุณตรงนั้นด้วย พูดได้เลยว่าไม่ใช่เอไทม์ที่เดียวที่ทำให้โด่งดัง แต่มีบริษัทอื่นๆ หลายๆ บริษัทที่เรียกเราไปทำงานเหมือนกัน ก็ถือว่าทุกที่ทำให้เราโด่งดัง ทุกคนมีความหมายกับเราหมด”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)