นายปฐม อินทโรดม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ.อาร์.อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด ผู้จัดงานคอมมาร์ต กล่าวว่า การจัดงานคอมมาร์ตในวันที่ 19-22 มี.ค. 2552 เป็นการสวนกระแสเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลง และส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในการใช้จ่าย เนื่องจากผู้บริโภคมีการคิดมากขึ้นก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าโดยเฉพาะสินค้าทางด้านไอที อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าขณะนี้ยังมีกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าองค์กรรอที่จะซื้อสินค้าไอทีในงานคอมมาร์ตอยู่ โดยเฉพาะองค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก เพราะมีราคาถูกกว่าการซื้อจากหน้าร้าน
ผู้จัดการทั่วไป บ.เอ.อาร์.ฯ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ บริษัทฯได้ทุ่มงบการตลาดประมาณ 50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 50% เมื่อเทียบกับการจัดงานช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อสนับสนุนในด้านของสัมมนาคุณ เช่น การซื้อสินค้าตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไปมีสิทธิ์ลุ้นรับทองคำ 1 สลึง 4เส้น/1วัน ซื้อครบ 3,000 บาท ลุ้นรถยนต์โตโยต้า วีออส 1 คัน ฯลฯ โดยการจัดงานครั้งนี้เป็นการเพิ่มงบมากกว่าการจัดงานทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้ การจัดงานครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน มีเม็ดเงินสะพัดกว่า 3,000 ล้านบาท
นายปฐม กล่าวอีกว่า บริษัทฯได้ประมาณการเติบโตด้านสินค้าไอทีของไทยปีนี้ว่าน่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 4-6% ในตลาดผู้บริโภคทั่วไป ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าตลาดรวมการใช้งานสินค้าไอทีของผู้บริโภคจะอยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เชื่อว่าการใช้งานด้านไอทีของคนไทยจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“คาดว่าการจัดงานครั้งนี้อาจจะมีคนเข้าชมงานเพียงหลักแสนคนเท่านั้น แต่เชื่องานครั้งนี้จะมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากคนที่เข้าดูงานจะเป็นคนซื้อมากกว่าที่จะมาชมงานเฉยๆ โดยปีนี้คาดว่าจะมีเปอร์เซ็นอยู่ที่ 90:10 ซึ่งเข้าร่วมงาน 100 คน แบ่งเป็นผู้ซื้อ 90 คน ผู้ร่วมงาน 10 คน ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่มียอดผู้เข้าซื้อ 80:20 และเชื่อว่าลูกค้าองค์กรจะหันมาเลือกซื้อสินค้าในงานมากขึ้น เพราะจะมีโปรโมชั่นที่ถูกกว่าการซื้อตามร้านทั่วไป” ผู้จัดการทั่วไป บ.เอ.อาร์.ฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างผู้เข้าชมงานคอมมาร์ตครั้งที่ผ่านมา จำนวน 1,600 คน ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม พบว่า อัตราการซื้อสินค้าไอทีของคนไทยในปัจจุบันมาจากเทคโนโลยีใหม่ 34.4% สินค้าราคาพิเศษ 58.5% และสินค้าไอที ที่มีความหลากหลายอยู่ที่ 24.2% ซึ่งถือว่าเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของคนไทย โดยคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ 5 ข้อ คือ 1.ความพอใจของสินค้า 2. ความหลากหลายของสินค้า 3.เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ 4.สถานที่จัดงาน และ5. ความเหมาะสมของราคาสินค้า
ที่มา:
http://www.thairath.co.th