Author Topic: รู้ทันอันตราย โรคหัด หนึ่งภัย สุขภาพ อากาศหนาว  (Read 2074 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


ขึ้นชื่อว่าเจ็บป่วยไม่ว่าจะด้วยโรคใดก็ตามล้วนแล้วแต่ไม่มีใครปรารถนา อยากเผชิญ ยิ่งช่วงเวลานี้ที่อากาศเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิลดลงในหลายพื้นที่

หัด นับเป็นอีกโรคหนึ่งที่พบแพร่ระบาดในช่วงหน้าหนาวต่อเนื่องไปจนถึงหน้าร้อน โรคดังกล่าวแม้จะมีวัคซีนป้องกัน แต่อย่างไรก็ตามหากต้องเจ็บป่วยเป็นหัด โรคดังกล่าวนี้มีความอันตรายสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วย

พญ.สาลินี หิรัญบูรณะ กุมารแพทย์ประจำโรงพยาบาลเวชธานี ให้ความรู้ถึงโรคดังกล่าวนี้ว่า หัดเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจซึ่งมีมายาวนาน ปัจจุบันโรคนี้แม้จะลดลงเนื่องจากมีวัคซีนป้องกัน แต่อย่างไรแล้วก็เริ่มที่จะพบมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีมานี้ ซึ่งสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส Rubeola ในน้ำลายและทางเดินหายใจของผู้ป่วย

โรคหัดมักระบาดช่วงมกราคมถึงต้นเมษายนมักเกิดในกลุ่มเด็กเล็กอายุ 6 เดือนถึง 6 ปีมากที่สุด เนื่องจากภูมิต้านทานจากมารดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ลดลงและยังเป็นช่วงที่ติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่ายและนอกจากกลุ่มนี้ปัจจุบันยังพบในผู้ป่วยที่มีอายุสูงขึ้นในวัย 10 ปีขึ้นไป

วัยเสี่ยงดังกล่าวผู้ปกครอง จึงไม่ควรละเลยควรได้รับวัคซีนป้องกันหัดและโรคติดต่อทางเดินหายใจอื่น ๆ อีกทั้งในเด็กที่เคยได้รับวัคซีนแล้ว เมื่ออายุเพิ่มขึ้นภูมิต้านทานจากการฉีดวัคซีนจะลดลง จึงควรมีการกระตุ้นวัคซีนหัดอีกครั้ง ซึ่งเป็นเข็มที่สองในอายุประมาณ 5-6 ปี

ส่วนช่วงเวลานี้ที่อากาศหนาวเย็น หัดสามารถแพร่ระบาดได้ดีก็เพราะหัดเป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ สภาพอากาศเปลี่ยนเช่นนี้จะส่งผลต่อเชื้อไวรัสซึ่งจะแบ่งตัวกระจายได้ดี สภาพอากาศเปลี่ยน ทางเดินหายใจแห้งและเย็นก็มีโอกาสรับเชื้อได้มาก

การแพร่ระบาดที่มีเกิดขึ้นเป็นผลมาจากหลายสาเหตุ ทั้งผลจากการฉีดวัคซีนที่ไม่ยั่งยืน การไม่ได้รับวัคซีนอย่างต่อเนื่องขาดการกระตุ้น รวมทั้งการละเลยไม่รักษาสุขอนามัย

หัดเป็นโรคที่มีมายาวนานในอาการของโรคที่เห็นชัดเจน โรคหัดจะมีไข้สูง 3-4 วันโดยที่ไข้ไม่ลด มีอาการปวดเมื่อยตามตัว ปวดหัว ปวดกระบอกตามาก บางคนมีอาการตาแดงร่วมด้วย จากนั้นจะมีอาการไอมากและมีโรคแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจและมีผื่นลักษณะพิเศษหลังจากวันที่ 4 ของการมีไข้จะเป็นผื่นลักษณะหนาแดงอยู่ 4-5 วันและหายไปได้พร้อมทั้งยังมีรอยดำของผื่น

อาการที่โดดเด่นของโรคหัดสังเกตได้จากอาการไข้นาน ตาแดงก่ำ ปวดหัว อาการเริ่มแรกแม้จะคล้ายไข้หวัดใหญ่แต่เมื่อพิจารณาถึงอาการไข้พบไข้สูงหลายวัน จากนั้นจะมีอาการไอมาก มีผื่นขึ้นซึ่งจะไม่เหมือนโรคอื่น โดยเม็ดผื่นจะเป็นจ้ำแดงหนามีลักษณะเหมือนนำทรายมาโรยทับกัน เม็ดผื่นจะกระจายไปทั่วตามลำตัว แขน ขา ฯลฯ ผื่นที่เกิดขึ้นจะอยู่นานเป็นสัปดาห์และจะเปลี่ยนเป็นจุดดำ

อีกทั้งช่วงวันที่ 3 ของการมีไข้สูงจะพบจุดแดงเหลืองในกระพุ้งแก้มของผู้ป่วยซึ่งลักษณะพิเศษนี้เรียกว่า koplicks spot นอกจากนี้ยังมีอาการไอมาก หากร่างกายอ่อนแอหรือภูมิต้านทานต่ำก็อาจป่วย มีโรคแทรกซ้อน ปอดอักเสบ ฯลฯ

โรคหัดเมื่อป่วยแล้วร่างกายมีความทรุดโทรมเพราะป่วยเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังอาจมีโรคแทรกซ้อนต่าง ๆโดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่แข็งแรงทั้งอาการปวดบวม ปอดอักเสบ ลำไส้อักเสบ ท้องร่วง ฯลฯ ซึ่งกลุ่มที่ต้องระมัดระวังพิเศษคือกลุ่มเด็กเล็ก ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่านิ่งนอนใจควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

ส่วนอีกโรคที่มักได้ยิน หัดเยอรมัน โรคทั้งสองชนิดนี้เกิดจากไวรัสกลุ่มเดียวกัน แต่เป็นคนละชนิด หัดเยอรมันเกิดจากไวรัส Rubella อาการก็จะมีความแตกต่างจากหัดที่กำลังกล่าวถึงโดยเฉพาะอาการไข้จะไม่สูงและไม่มีผื่นหนาทึบ นอกจากนี้หัดเยอรมันยังเป็นปัญหาสำคัญสำหรับสตรีมีครรภ์ เพราะทำให้เด็กในครรภ์เกิดภาวะพิการตามมาได้

ขณะที่การป้องกันโรคเป็นเรื่องสำคัญซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันหัดในช่วงอายุที่เหมาะสมจึงควรเคร่งครัด แต่อย่างไรก็ตาม พญ.สาลินีกุมารแพทย์ฝากคำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า การดูแลสุขอนามัยนี้นั้นมีความสำคัญที่จะช่วยให้ไกลห่างจากความเจ็บป่วยได้ ซึ่งไม่เพียงเฉพาะแต่เพียงโรคหัด

ยิ่งช่วงฤดูกาลนี้ที่อากาศเปลี่ยนแปลง การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอหลีกไกลจากปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อสุขภาพ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายทั้งผักผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินซีสูงโดยธรรมชาติก็จะช่วยป้องกันหวัดและส่งเสริม สุขภาพ ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นที่ทราบกันก็ควรต้องไม่ละเลยการปฏิบัติ

ส่วนในเวลาป่วยมีอาการ ไอ จาม ควรสวมหน้ากาก อนามัย ซึ่งการสวมใส่หน้ากากอนามัยนั้นส่งผลดีต่อตนเองและคนรอบข้าง

อีกทั้งยังช่วยให้เชื้อโรคไม่แพร่กระจาย เช่นเดียวกับการล้างมือบ่อยครั้ง ไม่จับสิ่งสกปรกแล้วนำไปขยี้ตา ขยี้จมูก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสุขนิสัยสำคัญช่วยให้ไกลห่างความเจ็บป่วยทั้งสิ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)