“บ๊วย” ขอโทษ “ตุ๊ก” รับผิดพี่เลวจริงๆ ลั่นกว่าจะยอมรับว่าตัวเองน่าขยะแขยงต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก บอกต่อไปจะเลิกโทษคนอื่น ขอบคุณตุ๊กที่กรุณา ซึ้งอีกฝ่ายไม่เคยพูดให้ลูกเกลียดพ่อ แจงตอนนี้ยังอยู่บ้านเดียวกันแต่นอนคนละห้อง เรื่องคืนดีเป็นเรื่องอนาคต ปัดสำนึกผิดเพราะ “โม” หันไปคั่ว “แพท” ไม่รู้โมแขวะดราม่า หลังจากหนุ่ม “บ๊วย เชษฐวุฒิ วัชรคุณ” ตัดสินใจหย่ากับอดีตภรรยา “ตุ๊ก ชนกวนันท์ รักชีพ” ไปตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวลือมีสาว “โม นภัสนันท์ พสวงศ์” เป็นมือที่สาม แม้ว่าสุดท้ายเจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธข่าวมือที่สาม ส่วนทางด้านของสาวโมก็หันไปควงไฮโซ “แพท ประกาศิต” ออกหน้าออกตา
ทว่าล่าสุด อยู่ๆ หนุ่มบ๊วยก็ลุกขึ้นมาโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า “วันนี้ผมได้รู้แล้วว่า ผมเลวแค่ไหน รับไม่ได้ ขยะแขยง ขอโทษกับคนที่ ผมเป็นด้วยครับ” ทำให้ถูกตีความไปว่า เจ้าตัวต้องการสื่อถึงใคร หรือเป็นเพราะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้หรือเปล่า เจอตัวบ๊วยในงานแถลงข่าว “โครงการปั่นให้ไกล เพื่อปัญญาไทย สู่เมืองหนังสือโลก” ที่ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น1 หอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สอบถามเกี่ยวกับข้อความที่โพสต์ บ๊วยก็ยอมรับว่าด่าตัวเอง หลังจากได้ไปเข้าคอร์สเรียนหลักการใช้ชีวิตจนค้นพบว่าตัวเองเลว
“ผมโพสต์เพราะผมรู้สึกจริงๆ มันไม่แปลกอะไร ถ้าผมจะรู้แล้วว่าที่ผ่านมาในอดีต ผมเป็นคนยังไง ผมเองรู้สึกเสียใจกับอดีตที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องมาหย่าร้าง แต่ผมเสียใจกับทุกความสัมพันธ์ในชีวิตหมดเลย ผมไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์กับอะไรสักอย่าง มันทำให้ผมสะเทือนมาก”
“ที่ผ่านมาผมไปเรียนหลักสูตรการใช้ชีวิตมา มันเลยทำให้เราสะเทือนว่าเฮ้ย ชีวิตเราไม่เคยเต็มที่กับอะไรเลย เรา99 เปอร์เซ็นต์กับทุกพื้นที่แล้ว พอมาหาจริงๆ ตอนนี้เราเต็มที่กับชีวิตแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เอง อาศัยบนความรู้สึกว่าอยากทำกับไม่อยากทำ ไปรับปากอะไรใครไว้ก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ผมคิดว่ามันไม่เวิร์คสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว”
“เราพูดอะไรเราต้องเป็นนายคำพูดของตัวเอง เราเสียใจที่อะไรเล็กๆ น้อยๆ เราก็ยังทำ อย่างเช่น เรียนดี เราคิดว่าเราอ่านแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง หรือรักแม่ดูแลแม่แค่นี้ก็พอแล้วนะ ผมรู้สึกว่าผมรู้สึกสะเทือนใจ มันไม่พอสำหรับผมแล้วก็เลยโพสต์ไป ไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัว แต่มันเป็นชีวิตของผมตลอด 37 ปีใช้ชีวิตและตัดสินใจบนความรู้สึก ผมว่ามันไม่พอ ผมเลยแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเอง”
“ก็เพราะไปเรียนหลักการใช้ชีวิตมานี่แหละครับ ตุ๊กเขาคงไม่กล้าถามเรื่องข้อความนั้น ผมก็เลยเคลียร์ในรายการคันปากไป คนคงไม่กล้าถามผมหรอกครับ ผมขยะแขยงตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองมันอยู่ในน้ำเน่า มันต้องรู้สึกจริงๆ ตัวเองผ่านอะไรมาเยอะมาก พอรู้สึกก็เลยโพสต์ไป ผมอยากจะพูดเพื่อแสดงความรับผิดชอบกับตัวเอง และทุกๆ อย่างที่ผมทำผิดไป ผมขอโทษทุกคนที่ผมไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์กับทุกคนเลย”
“ส่วนที่ผมโพสต์ว่า คนเรามักทำเรื่องไม่จริงให้เป็นเรื่องจริง ทำเรื่องจริงให้เป็นเรื่องไม่จริง ก็เพราะว่าเราชอบคิดว่าเรื่องจริงเป็นเรื่องไม่จริง อย่างเรื่องการทำงาน เราคิดว่าเดี๋ยวไปสายหน่อยก็ได้ ทั้งที่จริงๆ ทำไม่ได้ อย่างเรื่องไม่จริงทำเป็นเรื่องจริง คือความรู้สึกของเรา เรามองเขาว่า เขาเป็นคนไม่ดี ซึ่งจริงๆ เป็นแค่ความคิดทั้งนั้นครับ”
“หลักสูตรนี้เปลี่ยนชีวิตมากเลยครับ บางทีเราทำอะไรเรามักโทษคนอื่น แต่เราไม่ได้รับผิดชอบตัวเอง เราเป็นคนอนุญาตให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเอง ผมเคยไม่สบายใจที่ยืนต่อหน้าสื่อ ไม่ชอบเป็นข่าว แต่ในเมื่อเราโทษคนอื่น โทษคนมาคอมเมนต์ ทั้งที่เราทำทุกอย่างเอง หน้าที่เราคือหันไปรับผิดชอบมัน สิ่งที่เคยกลัวก็หายไปเลย เป็นแค่ความคิดเรา ตุ๊กเขาก็ให้กำลังใจ”
หลายคนเอาไปโยงกับเรื่อง “โม” ที่ตอนนี้ไปควงกับ “แพท” ทำให้เรารู้สึกอะไรขึ้นมา? ... “อันนี้เราคิดกันไปเองหรือเปล่า กับในอินสตาแกรม ผมมองว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว การที่ผมโพสต์ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน มันเป็นความรู้สึกของผมเอง”
ในขณะเดียวกันทางด้านของ “โม” ก็บังเอิญโพสต์ข้อความทำนองว่า “ดราม่าป่ะ” ในช่วงเวลาไล่ๆ กัน ทำให้ถูกมองว่ากระทบกระเทียบบ๊วยหรือเปล่า? … “ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ ก็แล้วแต่คนคิด”
พร้อมยอมรับว่าได้โทร.ไปขอโทษอดีตภรรยา “ตุ๊ก”
“ผมโทร.ไปขอโทษตุ๊กตั้งแต่เรียนแล้ว เจอล่าสุดก็บอกว่าตุ๊กขอบคุณมากนะที่ทำให้รู้จัก แลนด์มาร์ค ฟอรั่ม(คอร์สหลักสูตรการใช้ชีวิตที่บ๊วยไปเรียนมา) พี่เลวมากจริงๆ เลย ตุ๊กเขาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกพี่ พี่รู้สึกดีก็โอเคแล้ว ตุ๊กเขาเป็นคนแนะนำให้ผมไปเรียน มันเป็นจังหวะชีวิตมั้งครับ มันต้องเจอด้วยตัวเอง ประสบการณ์แบบนี้บอกใครไม่ได้”
“ผมไม่รู้ว่าเขาทราบหรือเปล่าว่าผมโพสต์ แต่ผมเป็นคนบอกตุ๊กเองว่าพอผมเรียนแล้วรู้สึกว่าผมสะเทือนถึงตัวเอง ผมก็โทร.ไปหาตุ๊กขอบคุณเขา ตุ๊กบอกว่าไม่เป็นไรหรอกพี่บ๊วย ดีขึ้นก็ดีแล้ว เป็นการคุยแค่ 2-3 ประโยค แล้วครบท้วน”
“ความสัมพันธ์ตอนนี้ดีขึ้นนะครับ พูดจริงๆ สำหรับผม ตุ๊กเขาดีมากอยู่แล้ว เจอเหตุการณ์แบบนี้เขาก็มีสิทธ์บอกลูกไม่ให้ชอบผมก็ได้ แต่เขาก็ไม่เคยพูด มีแต่มุมมองดีๆ ที่มีให้กัน เพราะเด็กไม่ได้เกี่ยวอะไร ผมว่าเขาทำหน้าที่ของพ่อแม่ได้เพอร์เฟ็กต์มาก ผมขอบคุณเขาตลอด”
พร้อมแจงกระแสในอินเตอร์เน็ตที่โจมตีว่า พอมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น “บ๊วย” ก็เลยชอบถ่ายรูปกับลูกเพื่อสร้างกระแส
“ถ้าชีวิตผมอยู่บนความคิดบนความรู้สึกตลอดเวลา ผมก็ไปไหนไม่ได้หรอกครับ คุณคิดก็เป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของผม ตอนนี้ผมไม่ได้คิดแค่เรื่องของตัวเองแล้ว ผมมีเรื่องลูก เรื่องครอบครัวที่ต้องดูแล ถ้าย้อนไปดูให้ดี ผมก็โพสต์ตั้งนานแล้ว ผมตั้งใจว่าต่อไปนี้ผมจะเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร ผมไปตรงนั้นมากกว่า ผมไม่ได้อยู่แค่ว่าตัวเองรู้สึกไม่ดีที่มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ ผมไปไกลกว่านั้นแล้วครับ 12 ตุลาฯนี้ ผมเปิด ซอย เตี๋ยว ติม นะครับ ข้าวซอย ก๋วยเตี๋ยว ไอติม เกษตรนวมินทร์ ตอม่อที่ 21 นีโอปาร์ค”
“เราทุกคนมีความคิดนะครับ เพียงแต่ผมไม่ได้ฟังมันเท่านั้นเอง คือเราไม่ได้ปลงนะ แต่ถ้าเราใช้ชีวิตอาศัยอยู่บนความคิด ความรู้สึก เราฟังแต่ตัวเองทั้งวัน โดยไม่เปิดโลกฟังข้างนอก พอเราเปิดโลกฟังข้างนอก ชีวิตมันมีความเป็นไปได้เยอะมาก เราพูดอะไรแล้วเรารับผิดชอบคำพูดเรา ทุกอย่างมันเป็นไปได้ทั้งหมดในชีวิต แล้วผมก็เห็นตามนั้น”
เผยก่อนหน้านี้ไม่ค่อยอยากตอบคำถาม แต่ครั้งนี้อยากเคลียร์ตัวเองให้ชัดเจน
“ใช่ ผมโพสต์แล้วผมตั้งใจว่า ก็คงมีคนมาถาม ถามแล้วก็จะได้แสดงความรับผิดชอบจริงๆ ว่าเป็นยังไง ผมไม่ได้ดราม่าด้วย แต่ถ้าคิดว่าดราม่าก็เป็นความรับผิดชอบของคุณครับ ไม่ใช่ของผม ผมบอกแล้วไงว่าผมก้าวไปเกินกว่านั้นแล้ว ผมไม่คิดไม่รู้สึกแล้วครับ ผมรู้ว่าเป้าหมายผมคืออะไร เป้าหมายมีไว้พุ่งชนนะครับ แล้วถ้าเราตั้งใจอยู่ที่เป้าหมาย เราไม่สนใจหรอกครับว่าเราคิดอะไรอยู่ เราจะเดินทางไปหามันเท่านั้นเอง”
“ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ งานพิธีกรก็ทำ เรารักและซื่อสัตย์กับหน้าที่การงานไป พอเรารู้ว่าเราร้อยเปอร์เซ็นต์กับสิ่งที่ทำ เราจะไม่กังวลกับมัน เราเต็มที่กับสิ่งที่ทำตอนนี้มากกว่า”
ส่วนเรื่องกลับมาสร้างครอบครัวให้เป็นเหมือนเดิมไหม เจ้าตัวเลี่ยงตอบบอกเพียงว่าให้เป็นเรื่องอนาคต
“เป็นเรื่องของอนาคตครับ ตอนนี้ก็อยู่ด้วยกัน แต่นอนกันคนละห้อง ผมก็รับผิดชอบในส่วนที่ผมรับผิดชอบของพ่อที่ดี พ่อที่สมบูรณ์แบบ เราก็ดูแลลูกร่วมกันมานานแล้ว ตอนนี้ความสัมพันธ์เราก็ดีขึ้นมากเลย เราอยู่บ้านเดียวกัน เพียงแค่แยกห้องกันอยู่ แต่ผมมี 2 บ้านนะครับ มีบางกรวย ที่เป็นบ้านพ่อบ้านแม่ด้วย”
“ตุ๊กเขากรุณาผมมาก ไม่ได้โกรธผมเลย เขาเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ตอนนี้ความสัมพันธ์ก็ดีครับ ผมว่าตอนนี้ผมมีความสุข มันไม่มีที่เป็นรายลักษณ์อักษร แต่ข้อผูกมัดที่เรารู้คือเราทำหน้าที่เป็นพ่อและแม่ ตุ๊กทำหน้าที่แม่ได้สมบูรณ์แบบ ผมก็ทำหน้าที่พ่อที่สมบูรณ์แบบ ทำสิ่งดีสำหรับลูกผมก็ทำ”
แจงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การสำนึกผิดและอยากกลับมาเหมือนเดิม
“เป็นเรื่องของความคิด แต่ตอนนี้ผมแฮปปี้จริงๆ เจอหน้าไม่ได้หนี ไม่ได้เกลียด ใช้ชีวิตอยู่บ้านเดียวกัน แต่คนละห้อง ตุ๊กยังทักเลยว่าช่วงนี้อยู่บ้านนี้บ่อยนะ(ยิ้ม) ผมก็บอกว่าก็อยากอยู่กับลูก ลูกเป็นความสุข เรื่องจะกลับมาเหมือนเดิมไหมผมก็ไม่รู้ แต่ผมจะร้อยเปอร์เซ็นต์กับทุกเรื่องในชีวิต แนวโน้มดีขึ้นอยู่แล้วครับ มันดีขึ้นล้านเปอร์เซ็นต์ อย่าไปคาดเดาตอนจบเลย ก็เหมือนหนัง ให้มันจบที่ผมเอง ดีกว่าคนมานั่งคิดว่าผมเป็นยังไง”
“เหมือนรีสตาร์ทตัวเอง ไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัวแตกแยก แต่เป็นทุกเรื่องในชีวิต ให้มองว่าถ้าผมดำเนินชีวิตมาแบบนี้ไม่ต้องเป็นตุ๊กหรอกครับ ถ้าเป็นผม ผมก็ต้องหย่าร้าง มันทำให้รู้ตัวเอง รู้ว่าอะไรที่ไม่เวิร์คกับชีวิต มันน้ำตาไหลเลยนะ ขยะแขยงตัวเอง มันต้องใช้ความกล้าหาญในตัวเองเลยล่ะ เลยมองว่าทำไมเราไม่รับผิดชอบกับชีวิตเรา”
ที่มา: manager.co.th