หลังจากงานเปิดตัวไอโฟน 5 ก็ถึงคิวของระบบปฏิบัติการ iOS6 จะออกมาผงาดให้ผู้ใช้ iOS Device ได้อัปเดตกันแบบยิ่งใหญ่อีกครั้ง (เพราะเป็น Major Changes) โดยคิวอัปเดต iOS6 เวอร์ชันเต็มจะอยู่ในวันที่ 19 กันยายน ตามที่แอปเปิลได้ประกาศไปแล้ว เพราะฉะนั้นในวันนี้ก่อนถึงวันอัปเดตใหญ่ ทีมงานไซเบอร์บิซจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับระบบปฏิบัติการตัวล่าสุดนี้กันแบบทุกรูขุมขนอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับ iOS Device ที่สามารถติดตั้ง iOS6 ได้คือรุ่นตั้งแต่ ไอโฟน 3Gs ถึง ไอโฟน 5 ส่วนไอพอด ทัช จะใช้ได้ตั้งแต่รุ่น 4 เป็นต้นไป และสุดท้ายไอแพดจะใช้ได้ตั้งแต่ไอแพด 2 เป็นต้นไป
แต่ทั้งนี้ iOS Device ที่สามารถใช้งาน iOS6 ได้เต็มฟีเจอร์ในปัจจุบันจะมีแค่ ไอโฟน 4s ไอโฟน 5 และ The new iPad เท่านั้น
ถึงเวลาเจาะลึก iOS6 หลายท่านคงทราบแล้วว่าใน iOS6 แอปฯ อย่าง YouTube จะถูกลบออกไป รวมถึง Maps จะมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้แผนที่ที่แอปเปิลพัฒนาเนื่องจากหมดสัญญากับกูเกิลและแอปเปิลไม่คิดจะต่อสัญญาอีก
โดยแผนที่ที่ทางแอปเปิลพัฒนาขึ้นเองนั้นจะใช้ข้อมูลจาก TOMTOM เป็นหลัก โดยหลักการใช้งานพื้นฐานยังคงคล้ายเดิม แต่ทางแอปเปิลจะเพิ่มฟีเจอร์เฉพาะอย่าง flyover หรือแผนที่ 3 มิติ (ยังใช้ได้ในบางประเทศ) อีกทั้งแผนที่ใหม่จากแอปเปิลยังมาพร้อมระบบนำทางแบบ Turn-by-Turn รวมถึงสามารถรับชมแผนที่ได้ทั้งแบบ Hybrid ภาพถ่ายจากดาวเทียมได้ และสามารถตรวจเส้นทางการจราจรได้ด้วย
แต่โชคร้ายสำหรับประเทศไทยที่ใช้แผนที่ใหม่จากแอปเปิลได้เพียงแค่ค้นหาเส้นทางกับนำทางแบบ 2 มิติได้เท่านั้น ส่วน Flyover และตรวจสอบเส้นทางจราจรยังไม่สามารถทำได้ในปัจจุบัน
สำหรับ Mail ก็มีการเพิ่มฟีเจอร์ VIP เข้ามาเพื่อใช้กรองอีเมล์จากบุคคลสำคัญที่ไม่สามารถพลาดการติดต่อได้ โดยชื่ออีเมล์ที่ถูดติด VIP ไว้จะมีการแจ้งเตือนที่ดีกว่าอีเมล์ปกติ แถม VIP ยังมีกล่องจดหมายของตนเอง เพื่อคัดแยกจดหมายสำคัญไม่ให้รวมกับจดหมายทั้งหมดที่อยู่ในเมล์
นอกจากนั้นเมื่อเขียนจดหมายใหม่ผู้ใช้ยังสามารถเพิ่มภาพและวิดีโอในอีเมล์ใหม่ได้ทันทีโดยการแตะที่หน้าจอค้างไว้จะมีออปชั่น Import Photo or Video ขึ้นมา
ส่วนการทดสอบร่วมกับแอปฯ ต่างๆเช่น Foursquare, Instagram และ LINE พบว่าสามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับ iOS Device ที่จะสามารถถ่ายภาพพาโนรามาได้โดยไม่ต้องใช้แอปฯ 3rd Party เพราะใน iOS6 ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพมุมกว้างสวยๆ ได้เพียงแค่กด Option > Panorama ในโหมดกล้องถ่ายภาพ และกวาดไอโฟนไปรอบๆ ตัวคุณเท่านั้น ระบบจะทำการเชื่อมภาพพาโนรามาให้คุณอัตโนมัติแบบเต็มความละเอียด
ซึ่งจากการทดสอบบนไอโฟน 4s พบว่าภาพพาโนรามาที่ได้จะมีความละเอียดอยู่ที่ 25 ล้านพิกเซล (ไอโฟน 5 อยู่ที่ 28 ล้านพิกเซล) ที่ขนาดไฟล์ประมาณ 17 MB
มาที่ฟีเจอร์ใหม่ที่ซ่อนอยู่ใน Settings อย่าง Do Not Disturb หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ แบบคนไทยก็คือ "ห้ามรบกวนเราจะพักผ่อน"
โดยฟีเจอร์นี้จะทำหน้าที่ในการบล็อกระบบแจ้งเตือนทั้งหมดเมื่อเราต้องการพักผ่อนจริงๆ เช่น นอนตอนกลางคืน ซึ่งผู้ใช้สามารถตั้งเวลาให้ระบบ Do Not Disturb ทำงานอย่างอัตโนมัติในช่วงเวลาใดก็ได้ รวมถึงสามารถตั้งการอนุญาตให้เบอร์โทรศัพท์จากบางกลุ่มสามารถโทรหาเราได้เมื่อฉุกเฉิน
อีกหนึ่งฟีเจอร์และแอปฯ ที่แอปเปิลจะเริ่มใช้งานอย่างจริงจังหลังจากไอโฟน 5 วางจำหน่ายก็คือ Passbook ที่เป็นเหมือนกระเป๋าเก็บตั๋วรถ เครื่องบิน คูปอง ต่างๆ ไว้ใช้งานได้อย่างสะดวกมากขึ้น เพราะไม่ต้องคอยกังวลว่าจะทำตั๋วเหล่านั้นหายระหว่างเดินทาง อีกทั้งคูปองและตั๋วเหล่านี้ยังสามารถอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้ด้วย
ในส่วน Gallery รูปภาพจะเพิ่ม Shared Photo Stream สำหรับสร้างเป็นสังคมสำหรับผู้ใช้ iOS Device ในการแชร์ภาพไปให้เพื่อนๆ ได้ชมผ่าน Contacts ในตัวเครื่อง และเพื่อนสามารถคอมเมนต์ภาพเหล่านั้นตอบโต้กลับไปมาได้แบบเดียวกับเฟสบุ๊ก
อีกทั้งส่วนแชร์ภาพ ยังมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่ด้วย ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะรองรับระบบแชร์ภาพไปยังแอปฯ อื่นได้แบบเดียวกับแอนดรอยด์
มาที่การเปลี่ยนแปลงส่วนต่อไปก็คือคีย์บอร์ดภาษาไทย 4 แถวที่มาแบบไม่ต้องติดตั้งเพิ่มแต่อย่างใด
หลังจากใน iOS5 ได้มีการผนวก Twitter เข้ามารวมไว้ใน iOS เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแชร์เว็บเพจและรูปภาพไปยัง Twitter ได้ทันที และใน iOS6 ทางแอปเปิลก็ได้ผนวก Facebook เข้ามาด้วย โดยการทำงานหลักๆ ก็เหมือนกับ Twitter บน iOS5 กล่าวคือ ผู้ใช้สามารถอัปเดตสถานะบนหน้าวอลล์ แชร์รูปภาพจากเครื่องไปหน้าวอลล์เฟสบุ๊ก และที่เด่นสุดก็คือสามารถดึงรูปภาพโปรไฟล์ของเพื่อนมาใส่ในรายชื่อ Contacts ที่อยู่ในไอโฟนได้แบบเดียวกับแอนดรอยด์
ในส่วน Accessibility ก็มีการปรับเปลี่ยนและเพิ่มฟีเจอร์เข้ามาใหม่เช่นกัน โดยจะมีการเพิ่ม Guided Access ซึ่งมีหน้าที่ในการสั่งล็อคหน้าจอ ปุ่มโฮม และระบบ Motion ของเครื่องเมื่อต้องการนำ iOS Device ไปให้เด็กๆ เล่น เพื่อป้องกันเด็กกดปุ่มคำสั่งต่างๆ ในแอปฯ โดยรู้เท่าไม่ถึงการและอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของเครื่องได้
โดยก่อนเรียกใช้งาน Guided Access ต้องเข้าไปตั้งค่าก่อนที่ Settings > General > Accessibility > Guided Access จากนั้นเลือกเป็น ON ส่วนวิธีการเรียกใช้งานก็เพียงกดปุ่มโฮม 3 ครั้งติดกันในหน้าแอปฯ ที่ต้องการใช้ Guided Access
สำหรับการปรับเปลี่ยนอื่นๆ ใน Accessibility ก็คือ Assistive Touch ที่จะมีการเพิ่มปุ่ม Siri เข้ามาในหน้าแรก ส่วนในหน้า Device > More จะมีการเพิ่มปุ่มเรียก Multitasking และปุ่ม Screenshot เข้ามาให้ผู้ใช้สามารถใช้งานไอโฟนมือเดียวได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถถนอมปุ่มโฮมได้จนแทบเรียกว่า ตัดปุ่มโฮมทิ้งก็ยังใช้งาน iOS Device ได้
มาที่ Privacy ในส่วน Settings จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเปิด-ปิดการอนุญาตในการเข้าถึงส่วนต่างๆ ได้ เช่นเข้า Facebook ได้ โพสต์ข้อความได้ แต่ไม่อนุญาตให้นำรูปจาก Gallery ไปใช้งานได้ หรือแม้แต่การเปิด-ปิด ระบบการแชร์พิกัดต่างๆ ก็สามารถทำได้ละเอียดขึ้นจากในหน้า Privacy
สำหรับ Safari ก็มีการปรับเปลี่ยนบางส่วนเช่นกัน เช่น การเพิ่ม iCloud Tabs ที่สามารถซิงค์ Tab ที่กำลังใช้งานอยู่กับ iOS Device เครื่องอื่นหรือเครื่อง Mac ทำให้การเล่นเว็บจาก Device หนึ่งแล้วย้ายไปเล่นอีก Device หนึ่งทำได้ลื่นไหลขึ้น นอกจากนั้น Safari ใน iOS6 ยังสามารถแสดงผลแบบเต็มจอได้เมื่ออยู่ในแนวนอน
และเป็นที่น่าดีใจมากสำหรับคนชอบเล่น FaceTime อย่างมาก เพราะต่อจากนี้คุณจะไม่ต้องวิ่งหา WiFi เพื่อเชื่อมต่อ FaceTime อีกแล้ว เนื่องจากใน iOS6 สามารถใช้ FaceTime จากเครือข่าย 3G/Edge ได้แล้ว เพียงแต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้ไอโฟน 4s เป็นต้นไปถึงจะรองรับ FaceTime on 3G
ในส่วนการโทรศัพท์ (Phone) จะสามารถตั้งเงื่อนไขไม่รับสายได้ว่าเพราะอะไร โดยการทำงานคือ เมื่อมีสายเข้าแล้วไม่ต้องการรับสายเพราะติดธุระ ให้กดปุ่มวางโทรศัพท์ด้านขวาล่างและเลื่อนขึ้น เพื่อเลือกออปชั่นที่ต้องการ
โดย Reply with Message คือการวางสายพร้อมส่งข้อความไปหาคนที่เราตัดสายไป ด้วยรูปแบบข้อความสำเร็จรูปที่เราสามารถตั้งแบบ Custom ได้
ส่วน Remind Me Later จะสามารถตั้งให้ระบบแจ้งเตือนเราให้โทรกลับเบอร์ที่เราตัดสายไปได้ อีกทั้งระบบนี้ยังนำความสามารถของ GPS มาใช้ในการแจ้งเตือนได้ด้วย เช่น เมื่อเราออกจากหอพักหรือพิ้นที่ตรงนี้ ให้ระบบแจ้งเตือนเราให้โทรหาคนที่เมื่อครู่เราตัดสายทิ้งไป เป็นต้น
อีกส่วนที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่หมดก็คือ App Store, iTunes Store และ Music ที่มีการปรับเปลี่ยนไอคอนให้ดูทันสมัยขึ้น อีกทั้งใน App Store และ iTunes Store ยังสามารถกด Like เพื่อแชร์แอปฯ หรือเพลงที่ชื่นชอบไปยังเฟสบุ๊กได้
และใน App Store ยังตัดระบบใส่ Password เพื่ออัปเดตหรือดาวน์โหลดแอปฯ ที่เคยซื้อไว้ออก เพื่อให้สะดวกต่อการติดตั้งแอปฯ ใหม่หรืออัปเดตแอปฯ
สุดท้ายมาดูที่ Siri กันบ้าง เพราะใน iOS6 ทางแอปเปิลจะเพิ่มความสามารถของ Siri มากขึ้นเช่นสามารถโพสต์สถานะเฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ ตรวจหาภาพยนตร์ที่เข้าฉายในสัปดาห์ รวมถึงเช็คคะแนนกีฬาต่างๆ ได้
และยังมีการเพิ่มภาษาให้ Siri มากขึ้นด้วย เช่น จีน สเปน เยอรมัน เป็นต้น (แต่ไร้เงาภาษาไทย)
เมื่อไม่มี YouTube ใน iOS ควรทำอย่างไร?
แน่นอนว่าใน iOS6 ตัวเต็มจะไร้เงา YouTube แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะทางกูเกิลได้พัฒนาแอปฯ YouTube ขึ้นมาใหม่และใช้งานได้ดีกว่า YouTube แบบเก่าบน iOS อีกด้วย
โดยการดาวน์โหลด YouTube ใหม่สามารถหาดาวน์โหลดได้จาก App Store โดยรูปแบบการใช้งานจะเหมือน YouTube บนแอนดรอดย์ 4.0 ที่นอกจากจะใช้ค้นหาวิดีโอได้ปกติและผ่าน Google Voice แล้ว แอปฯ ยังรองรับการเชื่อมต่อกับบัญชี YouTube และสามารถ Subscribe ช่องที่ชื่นชอบได้
อีกทั้งยังสามารถเลือกแชร์คลิปวิดีโอไปยังเครือข่ายสังคม และที่สำคัญคือในแอปฯ นี้ยังรองรับการเล่นวิดีโอจาก VEVO ได้อย่างไม่มีปัญหาด้วย
ขอให้ใช้ iOS6 อย่างมีความสุขครับ...
Company Related Link :
Apple
ที่มา: manager.co.th