เอชพี (Hewlett-Packard) ยักษ์ใหญ่โลกพีซีประกาศขาดทุนยับเยิน 8.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปรากฏรายได้จากธุรกิจย่อยลดลงทุกแผนกยกเว้นแผนกซอฟต์แวร์ที่เพิ่มขึ้น ซีอีโอนอนใจ เชื่อนี่คือจุดเริ่มต้นของการกู้วิกฤตเอชพีที่จะกินเวลาต่อเนื่องหลายปี เม็ก วิตแมน (Meg Whitman) ซีอีโอเอชพีแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปีการเงิน 2012 ของเอชพี (เมษายน-สิงหาคม 2012) ว่า เอชพีกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการปรับโครงสร้างและฟื้นฟูบริษัท ทำให้เอชพีมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับรายได้ที่ชะลอตัวลงในหลายส่วนธุรกิจ ทั้งหมดส่งให้เอชพีขาดทุนสุทธิ 8.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ตัวเลขจากเอชพีพบว่า 4 ใน 6 ธุรกิจย่อยของเอชพีมีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ได้แก่ รายได้จากธุรกิจจำหน่ายพีซีที่ลดลงถึง 10% ขณะที่ธุรกิจภาพและงานพิมพ์ทำรายได้ลดลง 3%
นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจบริการงานไอทีของเอชพียังลดลง 3% พร้อมกับที่ธุรกิจจำหน่ายคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ ระบบเก็บข้อมูล และระบบเครือข่ายของเอชพีที่ทำรายได้ลดลง 4% คาดว่าปัจจัยสำคัญคือรายได้จากการจำหน่ายระบบคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์สำหรับองค์กรธุรกิจตระกูล Itanium ที่ทำเงินลดลง 16%
สำหรับธุรกิจเดียวของเอชพีที่ทำรายได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมาคือธุรกิจซอฟต์แวร์ เอชพีระบุว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 18% ขณะที่ธุรกิจบริการการเงินนั้นคงที่ ไม่เพิ่มขึ้นและไม่ลดลง
บัญชีติดตัวแดงของเอชพีในไตรมาสนี้ไม่สร้างความประหลาดใจให้นักสังเกตการณ์ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่หลายบริษัทต้องรัดเข็มขัดและชะลอการลงทุนในระบบไอทีองค์กร ขณะเดียวกัน เอชพีก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจากการซื้อกิจการบริษัท Electronic Data Systems (EDS) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจซอฟต์แวร์องค์กร ทำให้แม้ในภาพรวมเอชพีจะมีรายได้ลดลงเพียง 5% แต่บริษัทต้องบันทึกตัวเลขขาดทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ
รายได้ที่ลดลง 5% ของเอชพีนั้นคำนวณจากรายได้รวม 2.97 หมื่นล้านเหรียญที่บริษัททำได้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยตัวเลขขาดทุน 8.9 พันล้านเหรียญสหรัฐคิดเฉลี่ยได้เป็นขาดทุน 4.49 เหรียญต่อหุ้น เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (มกราคม-เมษายน 2012) เอชพีมีรายได้รวม 3.07 หมื่นล้านเหรียญ เป็นตัวเลขที่ลดลง 3% แต่บริษัทก็ยังกำไรที่ 1.6 พันล้านเหรียญ
รายงานจากเอชพีชี้ว่า การขาดทุนในไตรมาสนี้มาจากการตัดค่าใช้จ่ายทางบัญชีแบบครั้งเดียวมูลค่า 1.08 หมื่นล้านเหรียญ โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการซื้อกิจการบริษัท EDS ซึ่งทำให้ในภาพรวมธุรกิจของเอชพีปี 2012 จะมีกำไรเฉลี่ย 4.07 เหรียญต่อหุ้น
ยังมีตัวเลขที่น่าสนใจจากผลประกอบการของเอชพีในไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ แผนกวิจัยและพัฒนาของเอชพีใช้งบประมาณมากขึ้นเป็น 854 ล้านเหรียญ จากปีที่แล้วที่ใช้ไป 812 ล้านเหรียญ ขณะเดียวกัน รายได้จากการจำหน่ายโน้ตบุ๊กของเอชพีก็ลดลง 13% เช่นเดียวกับยอดจำหน่ายเครื่องพิมพ์ที่ลดลง 3% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
Company Related Link :
HP
ที่มา: manager.co.th