“บีม” เคลียร์ทุกข้อกล่าวหา เปล่าโดนลูกนักการเมืองซ้อมจนแขนหัก ยันเป็นอุบัติเหตุจากการเล่นเจ็ทสกี ส่วนคดีแต่งรถเหมือนรถตำรวจเคลียร์จบแล้ว ด้วยการเสียค่าปรับ 2.5 พันบาท เชื่อดวงซวยเพราะเป็นปีชง ขอโทษสังคมเป็นตัวอย่างไม่ดี รับจะปรับปรุงตัวใหม่
หลังเคยมีเรื่องมีราวขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ กรณีปลอมแปลงตกแต่งรถเลียนแบบรถตำรวจ แล้วขับไปเฉี่ยวชนชิ่งหนีจนถูกตำรวจรวบตัวจับได้ แถมเมื่อค้นในรถยังพบเจออุปกรณ์หลากหลายชนิด รวมทั้งอาวุธปืน จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตครึกโครม แต่การดำเนินคดีกลับเงียบเชียบหายเข้ากลีบเมฆ ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ล่าสุดพิธีกรหนุ่มมาดกวน “บีม ศรัณยู ประชากริช” ยังมาเจอกระแสข่าวลือที่ทำให้ชื่อเสียงเสื่อมเสียซ้ำซ้อน พร้อมตอกย้ำภาพแบดบอยว่า ได้ไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทถูกทายาทนักการเมืองซ้อมซะอ่วมหนัก ถึงขั้นแขนหักหัวแตกต้องได้รับการผ่าตัดด่วน หลังรักษาตัวจนสภาพร่างกายดีขึ้นแล้ว เจ้าตัวก็ได้ออกมาชี้แจงกลางงาน “เชียร์บอลระดับโลกตะลุยแอฟริกาใต้” ที่ห้างเอสพละนาดเมื่อวันก่อน พร้อมโชว์บาดแผลที่แขนและศรีษะให้สื่อมวลชนดู โดยรับว่าบาดเจ็บจริง แต่เป็นบาดแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุเล่นเจ็ทสกี
“ตั้งแต่เกิดเรื่องรู้สึกข่าวลือออกไปหนาหูมาก คนตัดสินผมกันจากข่าวลืออีกแล้ว แต่ความจริงมันเกิดจากอุบัติเหตุที่ผมไปเล่นเจ็ทสกี ไม่ได้โดนทำร้ายอย่างที่ลือ ก็อยากให้เข้าใจกันด้วย คือตอนนั้นมีคนโทรมาเช็คข่าวกันเยอะมาก ผมปิดโทรศัพท์มือถือเลย 3 วัน เนื่องจากอาการผมหนักมากไม่สามารถคุยได้ ก็จะมีผู้จัดการส่วนตัวที่คอยรับสาย และส่งข่าวสารมาบอกเรา เพราะหน้าผมโย้มาก เย็บที่หัวไปร้อยกว่าเข็ม แขนหัก 2 ข้างแล้วต้องผ่าตัดด่วนในวันนั้น แต่ว่าทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดี แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ช่วงล่างยังเฟิร์มอยู่ครับ แต่หมดอารมณ์มานานแล้วครับตั้งแต่หัก”
“ถามว่าที่ผ่านมาผมมีศัตรูกับเขาบ้างไหม ก็มีบ้าง ศัตรูในชีวิตผมมีอยู่ไม่ถึง 7 คนหรอก แต่ไม่มีทายาทนักการเมืองเลยนะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนกันหมด แล้วทุกคนก็น่ารักกับผมทั้งนั้น ศัตรูผมจะเป็นพวกที่ผมรู้จักสมัยเด็กๆ แล้วผมก็ไม่เคยไปสืบเลยว่า ใครปล่อยข่าวแบบนี้ ผมปล่อยครับเพราะบวชมาแล้ว ช่วงนี้ผมเข้าวัดเยอะมาก การไม่แค้นคือสุขทางใจ ถ้ายิ่งแค้นมันจะไม่มีความสุข”
“กับเรื่องข่าวลือผมว่าคงต้องมีคนไม่ชอบผม ก็รู้อยู่แล้วว่ามีคนไม่ชอบ ใครจะมาชอบผมหมด คนที่ชอบผมก็มี หมั่นไส้ผมก็มี แต่ผมไม่สามารถทำให้คนรักหมดได้ ก็เลือกที่จะปล่อยไปดีกว่า เรื่องอะไรต่อให้หนาหูแค่ไหนช่างมัน ถ้าผมทำตัวเป็นคนดี แล้วตั้งใจทำมัน เดี๋ยวพระเจ้ารู้ ทุกคนก็จะรู้กันเอง”
“ถือซะว่าผมดวงซวยแล้วกัน ที่ต้องเจอกับเรื่องเข้าอีกแล้ว สงสัยว่าปีนี้อาจจะเป็นปีชงของผมด้วย ผมเกิดปีหมู ตอนนี้จะ 27 แล้ว ซึ่งสองเหตุการณ์นี้มันเป็นเครื่องเตือนสติผมจริงๆ ผมต้องดำรงชีวิตแบบคนที่โตแล้ว จะคิดอะไรก็ต้องคิด 2 ชั้นไม่ใช่แค่ตัวเอง ไม่ต้องเลิศเลอหรือสนุกสนานมากเกินไป ต้องคิดถึงคนข้างหลังคือครอบครัวของผมด้วย”
ส่วนเรื่องคดีไปตกแต่งรถคล้ายรถตำรวจ ทั้งเจ้าหน้าที่ยังค้นเจออาวุธปืน ที่เจ้าตัวอ้างว่าเป็นปืนที่ใช้เล่นในสนามบีบีกัน “บีม” เผยว่าเคลียร์คดีเรียบร้อยแล้วด้วยการเสียค่าปรับ
“เรื่องคดีเราจบด้วยการจ่ายค่าปรับครบเรียบร้อยในชั้นของอัยการ ทุกคดีแบบนี้มันคือการเทียบปรับ คนอาจจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ใหญ่โตลงหน้า 1 แต่ข้อกฎหมายจริงๆ คือโดนปรับเงินไม่เกิน 2.5 พันบาท ผมไม่ได้มีอิทธิพลเส้นใหญ่อะไรมาจากไหน ที่จะทำให้ตัวเองพ้นผิดได้ ผมเองก็เป็นคนไทยคนนึงที่ตั้งใจทำงาน และไม่อยากจะมีเรื่องเดือดร้อน ให้กับผู้ใหญ่หรือใครๆ อีก เราก็จ่ายตามค่าปรับ พี่ตำรวจเองก็เหมือนเห็นใจ เขาช่วยเหลือผมเพราะเห็นผมถูกนักข่าวรุม ทุกคนต้องมาเหนื่อยกับผมหมด”
“กับกระแสอินเทอร์เน็ตที่โจมตีเรื่องนี้กันเยอะ ตอนนั้นผมโดนอ่วมเลยไม่เปิดอ่านเลยครับ ดูแล้วจะเป็นลม ขนาดตอนนั้นทำรายการอยู่ ยังมีคนโทรมาด่าถึงที่ช่อง 3 โทรมาด่าว่าทำไมเอามันมาออก มันเป็นคนเลว เอามันมาออกรายการได้ยังไง พี่ๆ ก็ช่วยพูดว่าน้องเขาไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น ที่เขาด่าว่ามาผมไม่น้อยใจเลย ผมต่างหากที่โง่เอง ทำตัวผมเอง ผิดเองแล้วจะไปโทษใครได้ แต่ก็ยังจะแต่งรถซิ่งอยู่ ก็เป็นคนชอบรถทำไงได้ครับ”
เผยทั้งสองเหตุการณ์ทำให้ตนเข็ด และมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่
“ตั้งแต่เกิดเรื่องราวทั้ง 2 ครั้ง มันทำให้ผมเปลี่ยนความคิดตัวเองไปเยอะ มันคือ 2 เหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม มันทำให้ผมเข้าใจแล้วว่า คำว่าหน้า 1 มันเป็นยังไง มันทรมานนะครับ มันนอยด์กว่าจะหลุดพ้นมาได้ ผมทราบว่าสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี สังคมก็อาจจะมองว่า ผมและเหตุการณ์ที่ทำเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาตั้งแต่ตอนเรื่องรถ แต่ผมก็ไม่ได้ออกมาปริปากพูดอะไร ตอนนี้ผมมีโอกาสแล้วก็อยากจะพูดว่า ที่ผ่านมาผมต้องขอโทษ และต่อไปนี้คงต้องวางตัวให้มันดีขึ้น จะทำอะไรก็ต้องคิดให้มากขึ้นเยอะๆ”
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันมีผลกระทบกับผมรุนแรงมาก ผมไม่ได้เดือดร้อนแค่คนเดียว ยังมีครอบครัวผมที่ต้องมากลุ้มใจด้วย ต้องมานั่งคิดมาก วันที่ผมร้องไห้ ผมจะไปร้องไห้กับใครได้ ก็ต้องไปร้องไห้กับครอบครัวที่ผมรัก ฉะนั้นผมก็จะระมัดระวังตัวเองมากขึ้น แต่ในส่วนของเรื่องงานแล้ว ผมต้องขอบคุณความอนุเคราะห์ของผู้ใหญ่ที่ช่องอีกครั้ง คือเขามองแล้วว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เขาก็ไม่ได้อึดอัดคิดตัดผมออกจากงานเลย แต่จะมองเรื่องของภาพลักษณ์ส่วนตัวมากกว่า ก็ไม่อยากให้เกิดอะไรแบบนั้นขึ้นอีกแล้ว เข็ดแล้วครับ”
“ตอนนี้คนมองผมดีขึ้นเยอะแล้ว ตั้งแต่ที่เขาดูละครของผม เขาก็ให้อภัยในสิ่งที่ผมเคยทำผิดพลาด ผมต้องขอบคุณมากจริงๆ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า มันมาหักล้างกันได้ยังไง แต่ก็ดีใจ มีคนเอ็นดูผมมากขึ้นหลังจากที่ชมละครที่ผมเล่น เขาอาจจะมองว่าส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง แต่เขาก็มองว่าผมเล่นละครได้ เล่นบทถึง ทุกคนชอบ อย่างน้อยคนเกลียด 100 หันมาชอบผมสัก 25 คน ผมก็มีความสุขแล้ว มีอะไรให้คนชอบผมบ้างเถอะ ตรงนี้ผมก็รู้สึกชื่นใจว่า ที่ทำงานไปมันมีฟีดแบค ถึงจุดนี้แล้วมันทำให้เราตั้งใจทำงานมากขึ้น และไม่อยากจะทำอะไรที่มันผิดซ้ำๆ อีก”
เอ่ยปากขอโทษที่หน้าตากวนประสาทดูเป็นแบดบอย แต่จิตใจไม่ใช่คนเลวร้าย เผยตัวจริงเป็นคนปากไว และชอบคิดทะลึ่ง
“หน้าตาผมอาจจะดูกวนประสาทมาตั้งแต่กำเนิด ก็ต้องขอโทษด้วยที่มันเป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วผมไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร ถ้าผมไปทำอะไรให้ขัดใจใคร ก็ต้องขอโทษไว้ด้วย เรื่องความกวนของผม ตัวผมเองเป็นคนที่ชอบอะไรขำๆ อยู่แล้ว แต่ผมไม่ใช่คนที่ไร้มารยาทหรือว่าอะไร ต่อไปนี้อะไรที่มันดูแล้วห่ามๆ หรืออะไรที่มันดูขัดต่อกฎหมาย ผมก็ต้องลดลง เพราะส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่มักจะมันส์เกินเหตุในบางที”
“แต่จิตใจผมไม่ได้เป็นแบดบอยมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมไม่ใช่คนที่อาฆาตฆ่าคน หรือว่าไม่ให้เกียรติผู้หญิง ผมมันก็แค่เป็นคนปากไว แล้วก็ชอบคิดอะไรที่มันทะลึ่งเกินไปหน่อย ซึ่งต่อไปนี้ก็ควรจะลดการกระทำอะไรที่มันเป็นแบบนั้น คงไม่ถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองหรอกครับเพราะนี่มันคือตัวผม เอาแค่ลดๆ ลงตามวัย ตามกาลเทศะ”
รับภาพกวนๆ เป็นอุปสรรคต่อเรื่องความรัก ยันโสดสนิท และยังไม่พร้อมที่จะมีความรักครั้งใหม่
“เรื่องหัวใจนี่ยิ่งเหนื่อยเลย เพราะด้วยภาพลักษณ์ที่คนมองว่าผมเป็นแบบนั้นแล้ว เวลาที่ผมจะไปจีบสาว พ่อแม่เขาก็กลัวผม หาว่าผมไม่จริงใจบ้างอะไรบ้าง ตอนนี้เลยขออยู่นิ่งๆ ทำงานอย่างเดียวดีกว่า แล้วยิ่งตอนนี้มาป่วยไม่มีสาวๆ ดูแลเลย มีแต่พ่อแม่และน้องสาว”
“ผมมองว่าการจะมีใครสักคนตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวนะครับ คือถ้าให้คบใครผ่านๆ ที่เราไม่คิดจะเอาเขาเป็นแฟน หรือเป็นคนที่เราจะรักจริงๆ ไม่ได้มองเรื่องของผลประโยชน์นะ แต่เขาจะเอาไปพูดต่อ ซึ่งเรื่องนี้มันมีเกิดขึ้นจริงๆ ถึงตอนนี้ร่างกายผมจะป่วย แต่ผมก็ไม่ได้ต้องการใครเลยครับ ผมมีความสุขกับการที่ไปทำงาน แล้วก็กลับบ้านเจอครอบครัว ได้นั่งดูละครด้วยกันบ้าง แค่นี้ผมมีความสุขแล้ว”
“ตอนนี้ไม่คิดมองหาใครจริงๆ ไม่กล้าด้วย เพราะมันต้องมานั่งเริ่มต้นใหม่ ไหนจะต้องมานั่งทำความรู้จักครอบครัวเขาอีก มันเหนื่อย ตอนนี้นิ่งๆก่อน ผมว่าถ้าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาพอประมาณ มันยังเข้าใจกันมากกว่า มันเหมือนการรู้เขารู้เราว่า เราไม่ใช่คนที่แย่ ไม่ต้องมานั่งอธิบายให้คนทั้งล้านทั้งโลกฟัง มันเหนื่อยมาก”
ที่มา: manager.co.th