Author Topic: “สเตฟาน” ซัดพลาดที่คบ “ส้ม” ผิดหวังฝ่ายหญิงบอกขยะแขยง ตอกตนเป็นพระเอกที่พูดความจริง  (Read 796 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai




"ส้ม ธัญสินี พรมสุทธิ์" บอกขยะแขยงไม่อยากพูดถึงชื่อ "สเตฟาน"


"คุกกี้ อรนลิน ชัยพร" สาวน้อยถึงกับหนาชาเพราะ "สเตฟาน" ปฏิเสธไม่ได้จีบ


“สเตฟาน” ซัดคบ “ส้ม” คือความผิดพลาด บ่นผิดหวังฝ่ายหญิงบอกขยะแขยง ไม่เข้าใจทำไมถึงพูดถึงตนไม่ดี ทั้งรู้ว่าตนทำแบบนั้นบ้างไม่ได้ สุดอัดอั้นบอกทุกอย่างมีสองด้าน รับสั่ง “คุกกี้” ไม่ให้บอกนักข่าวว่าคุยกันเพราะอยากคุยกันแบบไม่กดดัน น้อยใจถูกด่าหน้าตัวเมีย กัดสังคมไทยเก่งเรื่องติคนอื่น เจ้าตัวแจงสิ่งที่พูดอาจไม่ได้ทำให้คนรัก แต่เป็นความจริงจากใจ ก่อนลั่นตนเป็นพระเอกที่พูดความจริงที่สุดแล้ว
      
       อีรุงตุงนังทีเดียว สำหรับเรื่องราวหัวใจของพระเอกหนุ่ม “สเตฟาน รสิษฐ์ วีระบุญชัย” ที่ก่อนหน้านี้เปิดตัวว่ากำลังคบหาอยู่กับนักแสดงช่อง7 “ส้ม ธัญสินี พรมสุทธิ์” แต่ก็คบหากันได้แป๊ปเดียวก็มีอันต้องเลิก หนำซ้ำยังดูท่าว่าจะจบไม่สวย เพราะฝ่ายหญิงออกมาซัดหลายเรื่อง ทั้งบอกว่าสเตฟานปรับตัวเข้ากับตนไม่ได้ แถมอยู่ๆ ก็หายไปไม่ยอมบอกกล่าว ถึงขั้นให้สัมภาษณ์ทำนองว่า ไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงชื่อ “สเตฟาน” เหมือนประมาณขยะแขยง!!
      
       ประเด็นกับสาวคนแรกยังเคลียร์ไม่ทันจบ ล่าสุดก็งานเข้าอีกดอก เมื่อดาราหน้าใหม่ช่อง7 “คุกกี้ อรนลิน ชัยพร” ออกมาให้ข่าวว่า ตนเองเป็นสาวคนใหม่ของพระเอกคนดัง แต่หนุ่มสเตฟานกลับปฏิเสธซะหน้าหงายว่าเป็นการคุยกันแบบพี่น้องธรรดา ไม่ได้พิเศษอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ งานนี้หนุ่มสเตฟานก็เลยโดนด้าว่าหน้าตัวเมียไปเต็มๆ
      
       ล่าสุดมีโอกาสสเตฟานในงาน “ฉลองก้าวสู่ปีที่5 นิตยสารสุขภาพดี” ที่แฟชั่นฮอลล์ ชั้น1 สยามพารากอน เจ้าตัวก็ระบายความรู้สึกออกมาเป็นชุด โดยตอบโต้เรื่องที่ส้มบอกขยะแขยงตนก่อนว่า....
      
       “เขารู้อยู่แก่ใจครับ ว่าความจริงมันคืออะไร ผมพูดได้แค่นี้ครับ ผมไม่มีเหตุผลอื่น ถ้าผมพูดไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาสำหรับตัวผมครับ”
      
       "ผมคบส้มเจอกันแค่ 3ครั้ง คุยกันวันแรกก็เป็นข่าว คือเป็นดารามันยากกว่าคนปกติ เวลาจะคุยกับใครสักคน ผมบอกเลย ผมไม่มีทางรู้จักผู้หญิงได้ในเวลา3วัน หรือแค่คุยกัน1เดือน พอมีความกดดันหลายอย่าง ผมเริ่มมามองว่า เราไม่ได้คบกันเป็นแฟน แต่เหมือนเป็นหน้าที่สักอย่าง ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไง แต่มันไม่ใช่จุดประสงค์ที่เราคุยกันตั้งแต่ทีแรก เลยไม่คุยดีกว่า ผมอายุ 29แล้ว ไม่อยากใช้ชีวิตคู่แบบที่ไม่ได้มาจากใจ ผมเหมือนใช้ชีวิตคู่ให้ทุกคนเห็นแบบนั้น ผมไม่อยาก"
      
       "เหมือนสังคมยัดเยียดให้เราเป็นแฟนกัน ผมก็คิดว่าคงเป็นได้ แต่พอเดือนนึงผ่านไป ผมมาคิดว่ามันไม่ใช่แบบนี้ ตอนคบฝนผมเพิ่งเล่นละคร เราคบเป็นแฟนก็ได้ใช้ชีวิตธรรมดา ฝนเขาเป็นคนธรรมดา ได้ศึกษากันเป็นปีกว่าจะเป็นข่าว แต่นี่วันแรกก็เป็นข่าวเลย (แปลว่าเป็นดาราคบใครไม่อยากเปิดเผย?) ไม่ ผมเปิดเผยอยู่แล้ว ถ้าเป็นแฟน แต่ผมคิดว่า ตอนยังไม่คบไม่ควรบอก มันต้องศึกษากัน"
      
       แล้วอย่าง “ส้ม” ล่ะ?
      
       "มันคือความผิดพลาด มันคือความผิดพลาดของทุกคน ทั้งผม ทั้งส้ม ทั้งสื่อ เพราะไม่มีใครรู้สูตรถูกต้องหรอก เหมือนลองผิดลองถูก แต่ก็ทำให้รู้ว่าการมาบอกว่าจีบกัน ทำให้เราไม่ได้ศึกษากัน"
      
       ส่วนที่ “ส้ม” ให้สัมภาษณ์ประมาณว่า “สเตฟาน” ปรับตัวไม่ได้ เจ้าตัวสวนกลับว่า ตนได้ทำในสิ่งที่เป็นสุภาพบุรุษที่สุดแล้ว
      
       “ไม่ครับ ผมว่าผมทำในสิ่งที่เป็นสุภาพบุรุษที่สุดแล้ว ส่วนเขาจะไปฟังคนอื่นหรือไปคิดอะไรของเขา ผมก็ไม่รู้ ผมห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้ แต่ผมพูดได้เลยว่าเขารู้อยู่แก่ใจ ว่าผมไม่เคยทำอะไรไม่ดี และที่เขาพูดมา เขารู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็นอย่างไรครับ”
      
       “แต่ไม่โกรธครับที่เขาออกมาพูดแบบนี้ แต่ผมผิดหวังในตัวคนมากกว่า ผมผิดหวังที่ผมคิดว่า ผมเคยคุยกับเขาแล้ว คิดว่าเขาเป็นคนๆ หนึ่งที่ผมคิดว่าจะคุยด้วย และจะคบจริงจัง และมีหลายอย่างที่ผมรู้ และผมก็พูดออกสื่อไม่ได้ และไม่มีเหตุผลที่ผมต้องพูดด้วยครับ บอกได้แต่เพียงว่าเขารู้อยู่แก่ใจครับ ผมไม่เคยคิดที่จะสัมภาษณ์เรื่องนี้เลย”
      
       กับที่ฝ่ายหญิงให้สัมภาษณ์ว่า คบกันอยู่ดีๆ “สเตฟาน” ก็หายไปไม่บอกกล่าว เจ้าตัวบอกว่า...
      
       “ทุกอย่างมันมีเหตุผลนะครับ ไม่ใช่ว่าจะมาว่าผมว่า อยู่ดีๆ ผมหายไป อยู่ดีๆ ผมไม่อยากคุยหรืออะไร ผมไม่รู้นะตอนผมไปคุยกับใครแล้วเขาไม่อยากคุยกับผม ผมต้องถามตัวเองก่อน ว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงไม่อยากคุยกับผม ผมไม่ได้โทษแต่เขา เราต้องโทษตัวเองบ้าง เราไม่ยอมดูตัวเองเลย มันก็ไม่ได้ ผมต้องดูตัวเองว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ผมก็มีบางอย่างที่ผมทำผิด แต่ของแบบนี้ปรบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก มันไม่ใช่ว่าผมตัดสินใจทุกอย่างในชีวิตของเขานี่”
      
       “เหมือนเริ่มคุยๆ กันแล้วมันไม่ใช่ ผมก็เลยเฟดออกมา พอผมมีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ผมก็เลิก ผมพูดได้ก็แค่ เราควรจะอย่าไปคิดว่าเรื่องมันมีแค่ฝั่งเดียว เรื่องทุกเรื่องมันมีสองฝั่งครับ ผมก็ไม่อยากพูดไปทำร้ายเขา หรือไปอะไร ผมไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปออกข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเขา ผมก็ได้แค่บอกว่าสิ่งที่เขาพูดมา เขาก็รู้อยู่แก่ตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร และความละอายมันก็ควรจะมี แต่ผมไม่เคยพูดไม่ดีเกี่ยวกับเขาเลย ทำไมเขาต้องมาพูดไม่ดีกับผม และเขาก็ต้องรู้อยู่แก่ใจว่าผมไม่ได้ทำ”
      
       “ผมไม่คิดจะเคลียร์ เคลียร์ไปก็ไม่มีประโยชน์ครับ ถ้าคนที่เขาจ้องจะทำร้ายเรา มันก็ไม่มีเหตุผลที่เราต้องไปคุยกับเขา ผมยอมรับว่า เสียความรู้สึกกับเรื่องนี้เหมือนกัน ลองย้อนกลับไปดูสิ ว่าผมเคยพูดไม่ดีเกี่ยวกับเขาหรือเปล่า มันไม่มี”
      
       ยืนยันกับ “คุกกี้” นักแสดงใหม่ช่อง7 ไม่ได้คุยแบบคนคบกัน แม้ฝ่ายหญิงจะออกมาให้สัมภาษณ์ในเชิงนั้นก็ตาม
      
       “ผมเคยบอกว่าผมไม่ได้คุยแบบนั้น เพราะผมต้องการเหตุผลของผม คือผมต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง ผมไม่อยากทำพลาดเหมือนกับที่ผมเคยคุยกับส้ม หมายความว่าความสัมพันธ์ที่เคยคุยกับส้มไป มันไม่ได้อยู่ในความคอนโทรลของผมกับส้ม มันกลายเป็นว่ามีเพื่อน,พ่อแม่,พี่น้อง,นักข่าว ทุกอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็เลยไม่ได้คบกัน และคุยกันอย่างรู้เรื่อง”
      
       “ผมก็เลยอยากที่จะคุยกับคนอื่น โดยการที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นแค่นั้นครับ ไม่ได้มีเหตุผลอย่างอื่น ผมก็พยายามมีชีวิตปกติบ้างกับคนที่ผมกำลังคุยอยู่ แค่เริ่มคุยกันจริงๆ ครับ แต่พอมันมีข่าวออกมาเดี๋ยวก็กลายเป็นเหมือนเดิม ผมก็เลยคิดว่าอย่างนั้นเราก็เลิกคุยกัน ถ้าอยากคุยกันเป็นพี่น้องจริงๆ ก็คุยกันได้ เขาส่งไลน์มา ผมก็ตอบไปตามปกติ”
      
       "ที่ผมบอกว่าไม่ได้คุยกับน้องคุกกี้ เพราะผมต้องการให้มีธรรมชาติในชีวิตผมบ้าง เพราะมันผิดไปหมด ผมไม่ได้คิดว่าจะใช้คำว่าอะไร ตอนที่พวกพี่มาถามเลยบอกว่าไม่ได้คุย เพราะผมต้องการให้เขาตอบว่า ไม่ได้คุยเหมือนกัน เราคุยกันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องมีใครมากดดัน แต่ข่าวออกมากลายเป็นว่าผมโดนด่า เจ้าชู้ ไม่รับผิดชอบ หน้าตัวเมีย”
      
       “ผมยังคิดเลยว่าผมให้สัมภาษณ์ ผมไม่ได้อะไรเลย นอกจากมีแต่คนว่าผม ผมอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ใช่ว่าเพิ่งบอกว่าอย่าเพิ่งบอกว่าคุยกัน วันรุ่งขึ้นเอารูปขึ้นอินสตาแกรมเลย คือมันยังไม่ได้คุยกันแบบนั้นไง ผมรู้สึกไม่ดี ถ้าต้องไม่พูดความจริง ผมกล้าพูดเลยว่า ผมน่าจะเป็นพระเอกคนเดียวที่พูดความจริงน่าจะเยอะกว่าคนอื่น"
      
       แต่ “คุกกี้” โมโหถึงขั้นท้าให้เอากล้องวงจรปิดออกมาแฉ “สเตฟาน” ไปส่งเขาที่บ้านจริงๆ เขาไม่ได้โกหก?
      
       “นึกออกหรือเปล่าครับ เราเป็นประเทศที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ จะเอามาเปิดเผยก็ตามสบายครับ ตอนแรกก็คุยกับเขาแล้วว่าอย่าออกข่าวเลยนะ เราเพิ่งคุยกันเอง เราคุยกันก่อนได้ไหม วันหนึ่งถ้ามันเกิดได้คบกันจริงๆ ค่อยออกข่าวก็ได้ มันไม่มีอะไรเสียหาย เราไม่จำเป็นต้องรีบร้อน มันเป็นแค่หนัง2012 มันไม่ใช่โลกจะแตกในปีนี้”
      
       “ซึ่งน้องเขาก็ไม่ได้ผิดที่พูด เขาก็ไม่ได้อยากพูดเหมือนผมนี่แหละ ไม่มีใครอยากพูดเลย และที่เขาต้องมาพูดก็เพราะว่า ผมก็ไม่รู้ว่าผู้จัดการหรือใครไปบอกเขาว่าอย่าโกหกนะ ต้องพูดตรงๆ นะ และตัวน้องคุกกี้เพิ่งเข้าวงการ เขาเลยตื่นเต้น กลัว เขาก็เลยต้องพูดออกมาไม่อยากโกหก ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของเขา และไม่ใช่ความผิดครอบครัวเขาด้วย พอผมสัมภาษณ์ไปถึงเรื่องเขา และพอเขาไม่ได้ฟังจากปากผม มันก็ถูกเพี้ยนไป มันก็เลยเหมือนสร้างความร้อนขึ้นมาได้”
      
       “ใครจะคิดว่าผมไม่แมน ก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็ไม่ต้องคิด และชีวิตผมมันก็ไม่ได้ตาย เพราะว่ามีคนบางคนคิดว่าผมไม่แมน”
      
       “ถ้าอยู่ดีๆ ผมคุยกับเขาแล้วข่าวออกมา แล้วผมตัดทุกอย่าง ผมไม่แมน ผมยอมรับ แต่นี่ผมไม่ได้ทำ ผมคุยกับเขาแล้ว ผมบอกก่อนว่าเราอย่าเป็นข่าวกันได้ไหม เราคุยกันเหมือนปกติ พอเป็นข่าวมันกลายเป็นว่าเราไม่ได้รู้จักกันแล้วล่ะ มันคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว มันเป็นการคุยกันผ่านสื่อแล้ว ผมก็บอกเขาว่า เราอยู่กันแบบคนปกติบ้างได้ไหม พอข่าวออกมาผมก็โกรธสิ เพราะผมก็บอกเขาไปแล้ว มาตอนนี้ก็ต้องเหนื่อยไปสัมภาษณ์อีก ทำงานเหนื่อยแล้วต้องมาสัมภาษณ์อีก”
      
       “ผมพูดตรงๆ นะครับ บางทีผมพูดออกไปแล้วข่าวมันออกมาไม่ดี ผมโดนว่า ผมทำอะไร ผมก็โดนว่า นี่ผมยังรู้สึกเลยว่าคราวหน้าผมให้สัมภาษณ์ 2-3คำแล้วผมไปดีกว่า ผมจะได้ไม่โดนว่า สังคมเมืองไทยเก่งโดยการติคนอื่น ปัญหาทั้งประเทศมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ผมทำตัวอย่างไร จะโทษว่าผมเป็นตัวอย่างของคนนั้นคนนี้ เมืองไทยเก่งโดยการติคนอื่น”
      
       “ปัญหาทั้งประเทศมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าผมทำตัวอย่างไร จะโทษว่าการกระทำของเรามีผลทำให้คนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันไม่ใช่ครับ ถึงวันนี้ผมตายไปประเทศของเราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันไม่ได้อยู่ที่ผม ตรงนี้ผมพูดถึงคนดูนะครับ ที่ทำไมต้องมาคิดว่าผมทำแบบนี้ไม่แมน คนที่เขาว่าผมอยู่ ผมก็ว่าเขาไม่แมน เขาก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก ดูตัวเองบ้าง อย่าเพิ่งไปว่าคนอื่นเขา ผมเห็นคนอื่นที่มีข่าวออกมาไม่ดีก็เป็นเหมือนกัน”
      
       ยันถึงจะมีข่าวเยอะแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกเบื่อ เพราะเข้าใจการเป็นดาราถ้าไม่มีข่าวก็อยู่ไม่ได้
      
       “ผมไม่ได้เบื่อข่าวที่ออกมา เพราะผมเป็นนักแสดง ไม่มีข่าวก็อยู่ไม่ได้ ตรงนี้เรื่องจริง ผมขอย้ำนะครับ ว่านักข่าวกับนักแสดงต้องไปคู่กัน ซึ่งข่าวไม่ดีออกมา ถามว่ามันมีความดีหรือเปล่า มันก็ยังมีความดี ไม่อย่างนั้นคนเขาไม่สร้างกระแสเรื่องไม่ดีหรอก แต่ผมก็ไม่ได้อยากมีข่าวไม่ดี แต่ถ้ามีผมก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติของความสัมพันธ์ของนักข่าวกับนักแสดง ผมไม่ได้โกรธนักข่าวสักคน ไม่เคยพูดจาไม่ดี และผมขอย้ำนะครับ ที่ผมโกรธคือโกรธคนที่อ่านแล้วอ่านไม่หมด แล้วไปพูดต่อกัน”
      
       เมื่อถามว่าความรักครั้งต่อไปอยากให้เป็นอย่างไร? เจ้าตัวแจง...
      
       “ทำไมคนอื่นเขาอยู่กันได้ โดยที่เขาคบกันโดยไม่ต้องออกข่าว ทำไมกับผู้หญิงที่ผมจะคุยด้วยแล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าคุณคิดว่าการที่ผมออกข่าว แล้วมันคือความจริงใจ ผมก็จีบทุกคนติดแล้วในโลกนี้ ถ้าผมชอบ แองเจลินา โจลี ผมก็บอกและออกข่าวเลย แสดงว่าผมกับเขาจริงใจกันหรือ มันไม่ใช่”
      
       “คนเราคบกันมันไม่จำเป็นต้องออกข่าว คุยกันให้รู้เรื่องก่อนเป็นแฟนแล้วค่อยออกข่าว มันไม่ได้เสียหายเลยสักอย่าง เขาก็ทำกันทั่วโลก ทำไมผู้หญิงทุกคนที่ผมคุยด้วย ต้องออกข่าว ผมไม่เข้าใจ บางคนคุยกันแค่วันเดียวออกข่าวเลย”
      
       “คนต่อไปต่อให้เป็นคนนอกวงการ ผมว่าใครก็ตามทั้งในหรือนอกวงการเดี๋ยวนี้เป็นข่าวกันได้หมด ผมไม่ได้โกรธเรื่องเป็นข่าวนะ แต่ผมขอแค่ถ้าผมคุยกับใคร อยากตั้งใจคุยกับเขา และใช้เวลากับเขาหน่อย”
      
       “ตอนนี้ไม่มีครับ ไม่ได้เข็ดนะครับ ผมอยากบอกพวกพี่ๆ นักข่าวว่า ผมมาสัมภาษณ์ ผมไม่รู้ว่าจะตอบออกมาให้มันดูดีเหมือนที่คนอื่นเขาทำกันอย่างไร ผมไม่รู้ว่าจะตอบออกมาให้คนเขารักผมเหมือนคนอื่นอย่างไร ผมก็ได้แค่ให้ความจริงใจที่มันออกมาจากปากผม มันออกมาจากใจผม ซึ่งถ้าคนเขารับไม่ได้กับการที่ผมพูดออกมาแบบนี้ ผมก็ว่าเขาไม่คู่ควรกับคำพูดของผม เพราะผมอุตส่าห์ให้เขาในความจริงใจของผมแล้ว ถ้าเขาจะมาว่าผมและชื่นชมคนที่โกหกเขา ปัญหาสังคมทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นเพราะแบบนี้แหละ”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)