“ศุภจี” เผยอินทัชเตรียมลงทุนธุรกิจใหม่ 2 ประเภท คือ เวนเจอร์แคปปิตอล และดิจิตอลทีวี พร้อมเปรยได้ความชัดเจนไทยคม 9 ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนผลประกอบคาดโตกว่าปีที่ผ่านมา 10-15% นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม กล่าวว่า บริษัทอินทัชมีความสนใจเข้าดำเนินการในธุรกิจใหม่ 2 ประเภท คือ ธุรกิจดิจิตอลทีวี และธุรกิจกองทุนร่วมลงทุน (เวนเจอร์แคปปิตอล) ซึ่งจะเป็นการเปิดให้บุคคลหรือบริษัทที่มีความต้องการเงินทุนเข้ามายื่นขอรับการสนับสนุนทางการเงินได้ โดยเบื้องต้นตั้งงบลงทุนไว้ที่ 200 ล้านบาท
ส่วนการทำธุรกิจดิจิตอลทีวีนั้น อินทัชกำลังศึกษารูปแบบการเปิดประมูลใบอนุญาต (ไลเซนส์) จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งไทยคม และอินทัชมีความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูล ทั้งใบอนุญาตด้านโครงสร้างพื้นฐาน และผู้ให้บริการโครงข่าย แต่ขอดูความชัดเจนในรายละเอียดอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในส่วนความคืบหน้าในการยิงดาวเทียมไทยคม 9 ในตำแหน่งวงโคจรที่ 50.5 องศาตะวันออก เพื่อรักษาสิทธิในวงโคจรของประเทศไทยตามที่ได้รับสิทธิจากสมาคมโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) เนื่องจากหากไทยยังไม่มีดาวเทียมขึ้นไปสู่วงโคจร ก็จะเสียสิทธิซึ่งจะหมดอายุในเดือนพฤศจิกายน ปี 2555 นี้
“เราเชื่อว่าความชัดเจนในการรักษาสิทธิวงโคจร 50.5 องศาตะวันออก จะได้ข้อสรุปภายในเดือนพฤษภาคมนี้แน่นอน”
นางศุภจีกล่าวว่า สาเหตุที่ยังไม่ได้ข้อสรุปในการยิงดาวเทียมไทยคม 9 ในขณะนี้เนื่องจากต้องรอความชัดเจนใน 2 เรื่อง คือ 1. ต้องรอประมาณอีก 1-2 สัปดาห์นี้ในการลงนามร่วมกับพันธมิตรในการลากดาวเทียมชั่วคราว ซึ่งการวางแผนทั้งหมดนี้คือการปูทางทำตลาดในระยะยาว รองรับลูกค้าเอเชียแปซิฟิก มิดเดิลอีสต์ แอฟริกา และอินโดไชน่า เพื่อรองรับความต้องการใช้งานแบนด์วิดท์ และความแพร่หลายของการรับชมแบบ HDTV
2. ต้องรอเรื่องที่เสนอไปยังกระทรวงไอซีที เพื่อให้พิจารณาในเบื้องต้นเพื่อรอการอนุมัติต่อไป โดยคาดภายในเดือนพฤษภาคมนี้จะเห็นความชัดเจนเช่นกัน
ขณะที่ดาวเทียมไทยคม 6 ในตอนนี้มียอดจองก่อนยิงดาวเทียมแล้ว 30% ของจำนวนช่องสัญญาณที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งจะขึ้นสู่วงโคจรกลางปี 56 โดยจะเน้นการให้บริการทีวีดาวเทียม และการให้บริการในระบบ HDTV
ส่วนดาวเทียมไทยคม 7 ซึ่งจะยิงขึ้นให้บริการในช่วงต้นปี 57 โดยจะใช้ในกิจการโทรคมนาคม และเสริมพื้นที่ให้บริการของดาวเทียมไทยคม 5 และไทยคม 6 ซึ่งจะให้บริการในประเทศแถบอินโดจีน อาเซียน รวมทั้งออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยถือเป็นดาวเทียมดวงแรกที่สร้างขึ้นภายหลังสัญญาสัมปทานกับกระทรวงไอซีทีหมดลง โดยต้องไปขอใบอนุญาตจาก กสทช.แทน
นางศุภจีกล่าวอีกว่า ในปีนี้เชื่อว่าไทยคมจะมีรายได้เติบโตกว่าปีที่ผ่านมาราว 10-15% หรือมีรายได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งจะใกล้เคียงกับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ในส่วนการเปิดเสรีโทรคมนาคม ซึ่งรวมถึงกิจการดาวเทียมด้วยนั้น ผู้บริหารไทยคมมองว่า ภาครัฐควรพิจารณานโยบายการเปิดเสรีให้เข้ากับประโยชน์ของประเทศ และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ซึ่งในฐานะที่เป็นซีอีโอของไทยคมก็พร้อมสำหรับการเปิดเสรีดาวเทียม แต่ต้องคำนึงว่าหากมีดาวเทียมจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย จะสามารถควบคุมและกำกับดูแลได้หรือไม่
Company Related Link :
ไทยคม
ที่มา: manager.co.th