“ยูมิน” แจงผิดเองโพสต์ข้อความซูเปอร์สตาร์เกาหลี “ซงจุงกิ” ชวนค้างคืน แจงเป็นเรื่องเข้าใจผิดจากมือที่ 3 จนทำให้ตนคิดว่าเป็นเรื่องจริง บอกเคลียร์ “กึ้ง เฉลิมชัย” แล้ว ไม่มีฟ้องร้อง ลั่นมีศักดิ์ศรีพอไม่คิดสร้างกระแสด้วยเรื่องแบบนี้ ยันข่าวดังกล่าวไม่กระทบงานของตนที่เกาหลี พร้อมเอ่ยปากขอโทษแฟนคลับ ซงจุงกิ ที่ทำให้ฉาวโฉ่ กำลังตกเป็นประเด็นที่หลายคนพูดถึง กับการโพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ของสาว “ยูมิน ทวิกานต์ กุลชล” ในเชิงชู้สาว ว่า ซูเปอร์สตาร์หนุ่มเกาหลี “ซงจุงกิ” นักแสดงจากซีรีส์ “บัณฑิตหน้าใส หัวใจว้าวุ่น” ชวนค้างคืนหลังอีกฝ่ายเดินทางมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทย แถมยังเผยอีกว่า มีเหล่าเซเลบฯคนดังมากมายที่ต่างพากันมาให้ศิลปินเกาหลีเลือกตัว จนต้นสังกัดของซูเปอร์สตาร์หนุ่ม และบริษัทที่จัดกิจกรรมดังกล่าวที่เมืองไทยอย่าง “กึ้ง เฉลิมชัย มหากิจศิริ” ต้องออกมาชี้แจงว่า ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น และเตรียมจะฟ้องร้องสาวยูมิน วานนี้ (3 พ.ค.) สาวยูมินได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงถึงเรื่องราวดังกล่าว ว่า เกิดเหตุการณ์เข้าใจผิด เพราะโดนมือที่ 3 หลอกจนทำให้เรื่องราวบานปลาย
“จริงๆ วันนี้ที่ออกมาอธิบายข้อเท็จจริง คือ การโพสต์เฟซบุ๊กเราได้คุยกับบริษัทที่ประเทศไทยแล้ว เรามาคุยเป็นส่วนตัวเป็นภาษาไทย แท้ที่จริงแล้วกลับกลายเป็นว่าเราโดนบุคคลที่ 3 หลอก และให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน จุดประสงค์แรกตอนที่โพสต์เฟซบุ๊กเกิดจากอารมณ์ของเราว่า ทำไมคิดกับเราแบบนั้น ทำกับเราแบบนั้น โดยที่เราไม่ได้ฟังข้อมูลจากศิลปิน”
“คือ เราได้มีโอกาสเจอแล้วก็ทักทาย แต่สิ่งที่เราได้ฟังมาทั้งหมดจากบุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของทางอีกฝ่าย เขาก็พูดประมาณว่า ตัวศิลปินมีความพอใจ เรานะอยากจะอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ตามที่ลงไป แต่เราปฏิเสธกับตัวผู้ใหญ่ ว่า ได้โปรดกรุณาอย่ามองผู้หญิงไทยแบบนั้น เพราะเขาพูดเองว่า บางทีคนต่างบ้านต่างเมืองมองผู้หญิงไทยอีกแบบนึง ก็เลยรู้สึกว่าทำไมถึงมองผู้หญิงไทยแบบนั้น แล้วการโพสต์อย่างนั้น เรารวบรวมสติแล้วกลับมาโพสต์ในรถ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ก็เลยอยากจะเล่าอยากจะบอกเพื่อนมันก็เท่านั้นเอง”
“ผู้ใหญ่ที่ว่าเป็นผู้ใหญ่จากทางเกาหลี ที่มาเป็นเอเยนซีฝ่ายกลางของงานนี้อีกที เราเจอเขาครั้งแรก แต่เรารู้จักเขามา 3 ปีแล้ว เขาเป็นเพื่อนสนิทของผู้ใหญ่หลายๆ คนที่รู้จัก ซึ่งเราก็ให้เกียรติแล้วก็เคารพ ก็ไม่คิดว่าคนที่มีวุฒิภาวะแล้วจะมาพูดจาอะไรประมาณนั้น”
“ซึ่งตอนแรกเราไม่ทราบว่าเขาจะชวนเราไปในฐานะอย่างนั้น เพราะเขาไม่ได้แสดงออกในแบบนั้นเลย เขาก็บอกว่า ยูมิน มาถึงแล้วนะ มาทานข้าวกันที่โรงแรม ซึ่งนัดทานข้าวกันที่โรงแรม คือ เขาก็ต้องใกล้ชิดกับศิลปินของเขา ก็ไป ทานข้าวกันที่ข้างล่างโรงแรม แล้วเขาก็ถามว่าคุณโอเคมั้ย ถ้าไปคุยที่บนห้อง เราก็บอกก็โอเค เพราะว่ามีทีมงานคนอื่นอยู่ด้วย แล้วเราก็บริสุทธิ์ใจที่จะคุยกับผู้ใหญ่คนนั้น”
“เราคุยกับผู้ใหญ่ท่านนั้น ก่อนที่จะกลับเขาก็พาไปแนะนำให้รู้จักกับศิลปิน ซึ่งที่โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เขานอนอยู่ แฟนคลับรอแง็กเลย” จริงๆ แล้วจะบอกว่ามันขึ้นอยู่การอ่านข่าวการให้ข่าว แต่ใจจริงก็คือเป็นห่วง รู้ว่าศิลปินคนนั้นกำลังนอนหลับอยู่ ซึ่งเราทานข้าวอยู่ข้างล่าง ซีอีโอคนนั้นก็บอก แล้วเราก็เลยหันไปเจอแฟนคลับประมาณ 10 กว่าคน”
“แล้วเที่ยงคืนกว่าแล้ว ก็รู้สึกว่าจะบอกเขาดีมั้ยว่าศิลปินกำลังนอนหลับอยู่ กลับบ้านดึกมันอันตราย เขาบอกว่า อย่าไปบอกเลยเดี๋ยวเขาพูดถึงคุณไม่ดี ก็เลยโอเคไม่บอกดีกว่า แต่เราดันไปโพตส์ในเฟซบุ๊กเพื่อบอกเพื่อนว่าเป็นอย่างนี้ๆ แล้วถึงเราจะไม่ได้บอกแต่เราพยายามใช้สายตาบอกเขาว่ากลับไปเถอะ วันนั้นเราเองก็ได้เจอซงจุงกินะ แต่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ก็อยู่ในความดูแลตลอด แล้วก็ได้มีโอกาสทักทายเสร็จแล้วก็กลับเลย”
“แค่ได้มีโอกาสทักทายกันวันนั้นเฉยๆ (แต่เราโพตส์ประมาณว่าอยู่ในห้องเขากำลังใส่ชุดนั้นชุดนี้?) อันนั้นอาจจะเป็นข้อจากการที่เรารายงานพ่อรายงานเพื่อน ที่เป็นห่วงหนู แต่ว่าจริงๆ ในห้องนั้นไม่ได้เกิดอะไรที่ไม่ดีขึ้นเลย เพราะไม่ได้มีแค่เรากับศิลปิน ยังมีผู้ใหญ่อีก 3 คนอยู่ด้วย เราก็ต้องปกป้องภาพพจน์เราด้วย เพราะเราจะไปทำงานที่นู้น ถ้าเกิดมีเรื่องไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นตัวเราหรือตัวใครออกมา มันทำให้ชื่อเสียงเราป่นปี้แน่ๆ”
“ก็ยอมรับว่า การโพสต์ข้อความแบบนี้ คนจะตีความไปได้หลายประเด็น ซึ่งตอนนั้นเราไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่าข้อมูลมาจากใคร เขาพยายามทำให้เห็นตลอดเวลาว่าเขารับโทรศัพท์ตลอดจากศิลปินนะ แล้วก็มาบอกอย่างนั้นอย่างนี้ เราเองก็ไว้ใจและเคารพเขาก็เชื่อเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ เลยเอาข้อมูลตรงนั้นมาเป็นอารมณ์ เขาบอกให้เราพาเพื่อนไปด้วย เราบอกไม่เป็นไรไปคนเดียวเซฟกว่า”
“และจุดประสงค์ของเราไม่ได้ที่จะไปทำความรู้จักกับศิลปิน เพราะเราเองทำงานไปกลับเกาหลีอยู่แล้ว ซึ่งที่เขานัดไปเราก็คุยเกี่ยวกับเรื่องธุระว่าไปเกาหลีแล้ว คุณจะมาทำงานกับเรายังไง จะช่วยอะไรได้บ้าง แต่การทักทายศิลปิน เราไม่ทราบว่าในใจเขาคิดอะไร แต่เราทราบเจตนารมณ์ว่าตัวเราบริสุทธิ์ใจในการทักทาย แล้วหลังจากนั้น ซีอีโอก็บอกว่าโอเคคุณกลับบ้านก่อนเถอะ”
“ส่วนเรื่องเซเลปที่บอกว่ามาอีก 10 คนไม่ใช่เรื่องจริง แต่ไม่ใช่ว่าเราโกหกนะ เพราะเขาบอกว่าคุณรีบกลับบ้านไปเถอะ คนอื่นกำลังมา ก็เลยรู้สึกว่า เรากลับบ้านด้วยความยินดีหรือกลับด้วยอารมณ์แบบว่า ในเมื่อเธอไม่ให้เธอก็รีบๆ กลับไปก่อน คนที่จะให้เขากำลังมาแล้ว”
ยันไม่มีการฟ้องร้องเกิดขึ้นอย่างที่เป็นข่าว เพราะตนเคลียร์กับทาง “กึ้ง” ต้นสังกัดเมืองไทยที่พาศิลปินมาแล้ว
“หลังจากเกิดเรื่องก็คุยกับบริษัทพี่กึ้งเรียบร้อยแล้ว คุยกับเลขาพี่กึ้ง 2 ชั่วโมงเต็มๆ เขาก็เข้าใจแล้วว่าได้รับข้อมูลไม่ตรงกัน บอกกับเราอีกอย่างนึง บอกกับทางบริษัทเมืองไทยอย่างนึง บอกทางเกาหลีอย่างนึง ซึ่งตรงนี้เขาคงได้รับผลกระทบในสิ่งที่เขาทำแล้วค่ะ ตอนแรกเขาบอกว่าเขายอมรับ เขาโมโหมาก เพราะเขาไม่รู้ข้อมูลที่เท็จจริง เราเจอเขาแค่หน้าห้องแค่ตรงนั้น เขาก็โอเคพอเขามาเจอมาคุยกับเราก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน”
“เขาก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน และเราก็บอกเจตนาที่โพตส์ไปคืออะไร โอเคเขาต้องไปสืบไม่ใช่ฟังเราฝ่ายเดียว พอเสร็จเขาก็ไปคุยกับฝั่งเกาหลี ข้อมูลก็ไม่ตรงกัน ทีนี้ต่างคนก็ต่างได้ยินข้อมูลที่มันกลับกลอกมากๆ เลยค่ะ เขาก็ถามเราว่า ยูมินร้อยเปอร์เซ็นต์มั้ยที่ตอบมา เราก็บอกว่าพี่คะ ดูจากการที่ให้สัมภาษณ์ของหนู แต่ก่อนหนูไม่เคยเก็บข่าวไว้กับตัวเลย เพราะอย่างน้อยมันก็คือศักดิ์ศรีของเรา”
ไม่สนคนครหาปั้นข่าวเกาะกระแส “ซงจุงกิ” ดัง ลั่นไม่คิดเอาผิดคนที่สร้างความเข้าใจผิดให้กับทั้งตนและต้นสังกัดที่เมืองไทย เพราะตนคงไม่มีพาวเวอร์พอที่จะชี้แจงอะไรมากมาย
“ถ้าพูดในฐานะความเป็นผู้หญิง ถ้าเราต้องการที่จะดัง คือเรารู้อยู่แล้วว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้คือมันไม่ดีอยู่แล้ว และไม่มีใครมาถามเรา คือเรามีสิทธิ์พูดมีสิทธิ์ทำ แค่รอบแรกรอบเดียว แต่รอบหลังบางคนอาจจะไม่สิทธิ์แก้ หรือสัมภาษณ์ก็ได้ ก็ได้รับแต่กระแสที่เข้ามาหาเราจนรู้สึกว่าเราไม่ใช่คนตัวใหญ่อะไรมากในวงการ แต่มีความรู้สึกว่า ถ้ามันไม่จริงก็ต้องพิสูจน์ ซึ่งตอนนี้ก็พิสูจน์แล้ว”
“ทางผู้ใหญ่เขาก็ขอโทษมาแล้วว่า ตอนแรกพยายามจะให้เราเบี่ยงเบนให้ บอกในสิ่งที่เจอ แต่ไม่ได้บอกในสิ่งที่เขาบอกเรา ที่ผ่านมา เราพยายามปกป้องเขาไว้ แต่วันนึงเรารู้สึกว่าเขาไม่ปกป้องเราเลย แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นกับเราที่อยู่เมืองไทย ณ ตอนนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องออกมาปกป้องตัวเราก่อนค่ะ และงานที่เกาหลีก็อาจจะไม่ร่วมงานกับเขาแล้ว”
“วันนี้ที่ออกมาโอเคเราออกมาเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง เราไม่สนว่าคนจะมองดีหรือไม่ดี แต่ว่าอยากให้รู้ซักนิดนึงว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรา ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่าความอยากได้อยากมีเพราะเรา ซึ่งเราไม่ได้ยึดติดตรงนั้น แต่มันเกิดขึ้นกับคนที่ให้ข้อมูลเรามาตรงนั้น และที่ออกมาไหนๆ ทุกอย่างมันเกิดขึ้น เพราะตัวเราเองเป็นคนเริ่ม แต่ไอ้ส่วนใครจะอยู่เบื้องหลัง ที่เคยทำให้เราเข้าใจผิดมาก่อน เราไม่เอาผิดเขาด้วยตัวเราเอง เพราะเราไม่ได้มีพาวเวอร์พอ”
ลั่นข่าวดังกล่าวไม่กระทบงานของตนที่ประเทศเกาหลี พร้อมเอ่ยปากขอโทษแฟนคลับเมืองไทยและ “ซงจุงกิ” ที่ทำให้เกิดข่าวเรื่องราวบานปลายจากความรู้ไม่เท่าทันของตน
“ส่วนเรื่องนี้จะกระทบงานของเราที่เกาหลีมั้ย ตอนแรกก็เป็นห่วงอยู่ค่ะ แต่ก็ได้ปรึกษากับผู้ใหญ่หลายท่านในเกาหลี เขาก็บอกว่าไม่ต้องห่วง พวกเรารู้จักในตัวคุณ คุณก็แค่เหมือนที่ผ่านมา ผิดที่บุคคลไปหน่อย ก็แค่ระวังตัวว่าความจริงใจความไว้ใจความเชื่อใจ บางทีต้องมาพร้อมกับความระวัง ที่ผ่านมา เราไม่ได้ระวัง”
“ก็อยากจะขอโทษแฟนคลับคนไทยก่อน ที่อาจจะรู้สึกไม่ดีเสียใจหรือแม้แต่อาจจะเข้าใจผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อะไรก็แล้วแต่ ก็อยากจะขอโทษในความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ก็อยากให้เข้าใจนิดนึงว่า ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรเลย นอกจากไปคุยงานกับซีอีโอ แต่เราก็ไม่ทราบว่าใครจะมีจิตใจที่บริสุทธิ์กับเราหรือเปล่า”
“ส่วนทางบริษัทและซงจุงกิก็ต้องขอโทษจริงๆ เพราะเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ ในสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนทำผิดพลาดไปแล้ว เราก็จะไม่โทษคนของเขา เพราะตัวเราเองก็ต้องเขาไปเหยียบในแผ่นดินเขาเหมือนกัน ความจริงจะเป็นอะไรยังไง ถ้ามันจะเกิดเรื่องปัญหาอะไรขึ้นก็ให้มันเกิดกับตัวคนอื่นที่ไม่ใช่เกิดจากปากเรา ว่าเราไปพูดอะไรอย่างนั้นอีกแล้ว ต่อไปต้องระวังตัวเองพอสมควร เราเป็นคนพูดจริงไม่เคยโกหก แต่การโกหกที่พูดมา มันเป็นการโกหกจากบุคคลที่3”
ที่มา: manager.co.th