Author Topic: “บริดจ์สโตน” ผู้ผลิตยางชื่อก้องโลก ประกาศปิดโรงงานอายุครึ่งศตวรรษ ชี้ยอดขายลดฮวบ  (Read 1597 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai






โรงงานผลิตของบริดจ์สโตนในบารี ประเทศอิตาลี เปิดทำการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962

   เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- “บริดจ์สโตน” ผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ประกาศในวันอังคาร (5) ว่า จำเป็นต้องสั่งปิดโรงงานผลิตของตนที่มีอายุเก่าแก่กว่าครึ่งศตวรรษทางตอนใต้ของอิตาลีลง หลังจากยอดขายยางรถยนต์ของตนในตลาดยุโรปลดฮวบเพราะพิษเศรษฐกิจ
      
          รายงานข่าวระบุ บริษัทบริดจ์สโตน คอร์ปซึ่งมีฐานอยู่ที่เขตเกียวบาชิ ในกรุงโตเกียวประกาศปิดตัวโรงงานผลิตเก่าแก่ของตนที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดบารี ทางภาคใต้ของอิตาลีลงอย่างถาวร ภายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2014 แม้โรงงานแห่งนี้ซึ่งว่าจ้างแรงงานท้องถิ่นราว 950 คน จะถูกใช้เป็นศูนย์กลางการผลิตยางรถยนต์ของบริดจ์สโตนในยุโรปมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962 และเป็น 1 ใน 8 โรงงานของบริดจ์สโตนที่ตั้งอยู่ในยุโรป
      
          คำแถลงของบริดจ์สโตนระบุว่า ทางบริษัทพร้อมจะเปิดการเจรจาเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เพื่อลดทอนผล กระทบที่จะเกิดกับคนงานทั้งหมดที่ประจำอยู่ ณ โรงงานแห่งนี้ พร้อมยืนยันว่า การตัดสินใจปิดโรงงานผลิตที่บารีถือเป็นทางเลือกที่มีความจำเป็น และทางบริษัทก็ได้พิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้อื่นๆแล้วเช่นกัน แต่ความตกต่ำในตลาดยางรถยนต์ที่เกิดขึ้นในยุโรป และทั่วโลกตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริดจ์สโตน ต้องตัดสินใจปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ จากแรงกดดันด้านความอยู่รอด
      
          อย่างไรก็ดี โฆษกของบริดจ์สโตนในกรุงโตเกียว ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆต่อข่าวการปิดโรงงานผลิตที่บารีในอิตาลี รวมถึง ไม่ยอมให้รายละเอียดเกี่ยวกับ “มาตรการเยียวยา” เหล่าคนงานท้องถิ่น ที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
      
          ทั้งนี้ ทางบริดจ์สโตน ประเมินว่า ปริมาณความต้องการยางรถยนต์ในสหภาพยุโรป (อียู) จะยังคงตกต่ำต่อไป และยอดขายยางรถยนต์ในอียูจะยังคงไม่ฟื้นกลับไปสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนปี 2011 จนกว่าจะถึงปี 2020 เป็นอย่างน้อย สวนทางกับยอดขายในเอเชียและยอดขายในญี่ปุ่นที่ปรับตัวสูงขึ้นจนช่วยให้บริษัทมีกำไรสุทธิเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 67 เปอร์เซ็นต์ เป็น 1.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 54,510 ล้านบาท)

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)