“สีดา” ดีใจศาลยกฟ้องคดีฉ้อโกง “โก้ ธีรศักดิ์” กรณีกู้เงินไปทำละคร “แม่นาคพระโขนง” แล้วไม่คืน เจ้าตัวเผยทั้งน้ำตาสุดโล่งที่พ้นมลทิน อย่างน้อยก็รู้ว่าฟ้ามีตา ด้านศาลชี้ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมลงทุนทำละครด้วยกันแต่ไม่สำเร็จ จึงไม่เข้าข่ายหลอกลวง อีกทั้งไม่มีเจตนาทุจริตจึงไม่ถือเป็นความผิดฉ้อโกง ขณะที่โก้กร้าวจะอุทธรณ์คดีต่อจนถึงที่สุด สืบเนื่องจากกรณีที่อดีตนักแสดง “โก้ ธีรศักดิ์ พันธุจริยา” ได้ออกมาแจ้งความดำเนินคดีกับดารารุ่นเก๋า “สีดา พัวพิมล” แม่ของดาราหนุ่มผู้ล่วงลับ “อ๊อฟ อภิชาติ พัวพิมล” ในข้อหาฉ้อโกงเงินรวม 5.5 แสนบาท เพราะอ้างว่าจะเอาเงินไปทำละครเรื่อง “แม่นาคพระโขนง” ให้กับบริษัทเจเอสแอล แต่สุดท้ายพอสอบถามไปยังเจเอสแอลกลับได้คำตอบว่าโปรเจกต์ละครเรื่องนี้ถูกพับไว้ไม่มีกำหนด จึงเป็นเหตุทำให้โก้ตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว
ซึ่งหลังจากขึ้นศาลต่อสู้กันมาพักใหญ่ ล่าสุดวันนี้(28 มีนาคม) ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องนางสีดา โดยพิพากษาว่า คดีนี้มูลเหตุเกิดจากคู่ความทั้งสองตกลงร่วมลงทุนทำละคร เรื่อง แม่นาคพระโขนงกัน แต่ไม่สำเร็จ จึงไม่เข้าข่ายเป็นการหลอกลวงโจทก์ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อให้ได้ทรัพย์สิน อีกทั้งจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต จึงไม่ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง พิพากษายกฟ้อง
หลังจากฟังคำพิพากษาแล้ว “โก้ ธีรศักดิ์” คู่กรณีได้กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า จากนี้ตนจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไปจนถึงที่สุด ด้าน “สีดา พัวพิมล” ได้เปิดเผยด้วยด้วยดีใจว่า ตนรู้สึกโล่งใจที่พ้นมลทิน เพราะที่ผ่านมาถูกคนในวงการบันเทิงมองในทางลบ จนไม่มีงานแสดงละครเข้ามาอีก
“ความรู้สึกหลังจากที่ศาลตัดสิน ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากค่ะ เราไม่ได้ไปฉ้อโกงหรือหลอกลวงใคร เราไม่มีอาชีพไปหลอกลวงใคร ศาลท่านก็มีคำสั่งยกฟ้องให้เราชนะคดีเพราะเราเองก็มีเอกสาร ท่านยกฟ้องหมดแล้วก็ว่ากันไปตามความจริง ถามว่าหายเหนื่อยไหมกับเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นปี เหนื่อยมากค่ะ กับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง มันเหนื่อยมาก ถ้าเป็นคนอื่นคงตัดสินปัญหาชีวิตไปแล้ว แต่เราไม่ใช่คนหนีปัญหา อะไรเป็นความจริงก็คือความจริง เราต่อสู้กันในทางที่ถูกต้อง”
“เราก็รู้สึกโล่งที่พ้นข้อกล่าวหา ความรู้สึกของเรามันแย่มากกับการที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเขา หลอกลวงเขา มันเสียมาก เสียจนมีข่าวออกมาโดยการที่เขาให้ข่าวออกมาแบบนี้ เราก็เสียทั้งเงินเสียทั้งงาน เสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราก็ไม่ได้โทษใคร ชาติที่แล้วเราอาจไปทำเวรกรรมกับใครเขาไว้ เราไม่โกรธใครหรอก เราเชื่อว่าเกิดมาพ่อแม่เราสั่งสอนให้เราเป็นคนดีอยู่แล้ว สลึงเดียวเรายังไม่โกงใครเลย”
“ทางคู่กรณีก็ไม่ได้ติดต่อมาเลยค่ะ ต่างคนต่างแยกย้ายไม่มีอะไร ตอนที่เขามาฟังคำตัดสินเขาก็ไม่มีท่าทีอะไรนะ เขาก็เฉยๆ แต่ถามว่าเขาจะยื่นฟ้องอุทธรณ์ต่อนั้น อันนี้เราไม่ทราบค่ะ เพราะไม่ได้คุยอะไรกับเขา ศาลพิพากษาออกมาว่ายกฟ้องเราชนะ ก็ดีใจแล้ว ยิ้มทั้งน้ำตาเลย”
“ข่าวนี้มันทำให้สังคมเข้าใจมากขึ้นไหม คืออันนี้เราก็รู้ในส่วนของเราว่าเราพ้นมลทิน อะไรที่ค้างไว้ก็พ้นแล้ว เราเองก็ไม่เคยออกสื่อให้ข่าวโต้ตอบอะไร เราคิดว่าฟ้ายังมีตานะ เราก็ได้แต่พูดในใจคนเดียว ถ้าเบื้องบนเห็นว่าเราถูกก็ว่าไปตามถูก ถ้าท่านเห็นว่าเราผิดก็ว่าไปตามผิด”
“ชีวิตตอนนี้ยังทุกข์เหมือนเดิม ยังไม่มีงานไม่มีเงิน เพราะข่าวนี้ทำให้เราหมดเลยจริงๆ นะ อนาคตหมด ชื่อเสียงก็เสีย ถามว่าหลังหลังจากที่ศาลตัดสินจะมีงานเข้ามาไหม ก็ไม่ทราบค่ะ ไม่กล้าตอบ ก็แล้วแต่ใครจะเมตตา เราก็ยินดี จะให้ไปทำอย่างอื่นก็ไม่มีเงินสำรอง ไม่มีทุน (ร้องไห้) เราอยากจะทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่มีเงิน เราอยากทำอย่างอื่นเล็กๆ น้อยๆ เพื่อปลดหนี้ เราพูดจริงๆ ไม่อยากเป็นหนี้ใคร การที่เราต้องเป็นหนี้คนเขา ก็คือเราเป็นหนี้เรื่องงานจริงๆ การทำงานมันต้องมีพลาด มีการลงทุนแต่เราไม่ได้เอาเงินใคร ไม่ได้โกง ไม่ได้เล่นการพนัน เข้าบ่อนไม่ใช่อย่างนั้น อย่ากล่าวหาเรา คนที่ว่าเราเขาไม่เคยเห็นซะหน่อย”
“เรามีสมองมากพอที่จะเอาสมองทำงานมากกว่าหมกมุ่นกับการพนัน เราคงไม่ทำแบบนั้น การเป็นหนี้เรามีเหตุผล เรามีอะไรก็แก้ไขปัญหาคนเดียวต่อสู้คนเดียว เราก็เป็นคนสู้นะ สู้ชีวิตมาแต่ไหนแต่ไร เราไม่มีทุนอะไรเลย ไม่มีเลย (ร้องไห้) ตั้งแต่ข่าวออกไปก็ยังไม่มีเพื่อนพ้องในวงการช่วยเหลือ แต่เราก็ไม่เป็นไร แต่คำว่าไม่เป็นไรนี่แหละ อะไรก็ได้ชีวิตมันถึงได้เป็นแบบนี้ ทำงานไม่ต้องมีสัญญาก็ได้เดี๋ยวออกทุนเองไปก่อนก็ได้ เจ้าแล้วเจ้าเล่ามันถึงได้เป็นแบบนี้ การทำงานมันต้องมีการลงทุน เรามีค่าของความเป็นคนอยู่เหมือนกัน เราอยู่ในมุมมืดมันทำให้เราได้เห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น ชัดมากๆ”
ที่มา: manager.co.th