สำนักวิจัย IHS Screen Digest เปิดเผยผลสำรวจล่าสุด พบปี 2012 คือปีที่ตัวเลขการชมภาพยนตร์สตรีมมิ่งของชาวอเมริกันมีจำนวนมากกว่าการชมทางแผ่น ทั้งแผ่นบลูเรย์ ดีวีดี และวีซีดี ถือเป็นปีแรกที่โลกออนไลน์แสดงอิทธิพลในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างเป็นรูปธรรม สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานผลสำรวจของบริษัท IHS Screen Digest ระบุว่ายอดการชมภาพยนตร์สตรีมมิ่งในสหรัฐฯจะทะลุ 3.4 พันล้านเรื่องในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปี 2011 ที่มีจำนวนเพียง 1.4 พันล้านเรื่อง โดยการชมบนแผ่นความละเอียดสูงอย่างบลูเรย์ (Blu-ray) และดีวีดี (DVD) จะมีจำนวนมากกว่า 2.4 พันล้านเรื่อง
สตรีมมิ่งนั้นเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้สามารถชมภาพยนตร์ได้โดยไม่ต้องรอให้เครื่องดาวน์โหลดไฟล์ทั้งหมดจนเสร็จ ซึ่งจะกินเวลานานเกินไป โดยการสำรวจพบว่าในสหรัฐฯ บริการจาก Amazon บน Netflix นั้นคือเจ้าใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งบริการมากกว่า 94% ของตลาดบริการภาพยนตร์แบบเสียค่าบริการรวมในสหรัฐฯ
Dan Cryan นักวิเคราะห์ผู้รายงานผลสำรวจครั้งนี้ของ IHS ระบุว่าชัยชนะของภาพยนตร์สตรีมมิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่โลกต้องใช้เวลานานถึง 9 ปีหลังจากร้าน iTunes Store เริ่มทำตลาดบริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์ออนไลน์
อย่างไรก็ตาม ในอุตสาหกรรมเพลงนั้นแผ่นซีดีก็ยังคงมีที่ยืนแม้โลกแห่งการขายเพลงออนไลน์จะเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2001 เช่นเดียวกับที่คอหนังยังพยายามหาซื้อแผ่นดีวีดีและซีดีอยู่ จุดนี้ทำให้รายงานตั้งข้อสังเกตว่าแผ่นบลูเรย์ต่างหากที่กำลังอยู่ในสภาวะก้ำกึ่ง เนื่องจากผู้บริโภคจะมองว่าราคาไม่ธรรมดาของบลูเรย์นั้นไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน และการดาวน์โหลดก็ทำให้ได้รับชมภาพยนตร์ความละเอียดสูงในระดับเดียวกัน
สำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา การสำรวจพบว่าการชมภาพยนตร์ด้วยแผ่นซีดีนั้นยังเป็นช่องทางหลัก แต่เพราะการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่องจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเหมือนสหรัฐฯได้เร็วขึ้น แม้จะยังมีปัญหาภาพยนตร์ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศเหล่านี้ก็ตาม
...ประเทศไทยคือกลุ่มนี้นั่นเอง...
ที่มา: manager.co.th