“อ๊อด บัณฑิต” รับโดน “เสี่ยเจียง” ด่าหลังหันมากำกับละคร โอดทำหนังปีละเรื่องไม่พอยาไส้ บอกยอมให้ด่าเพราะตนมีภาระต้องดูแลปากท้องครอบครัว เจ้าตัวเผยยังดีที่เป็นละคร ถ้าเป็นหนังตนคงโดนตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว เพราะเป็นธุรกิจคู่แข่ง เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ของค่ายบาแรมยู ค่ายลูกของสหมงคลฟิล์ม แต่ล่าสุด “อ๊อด บัณฑิต ทองดี” โดดมารับงานเป็นผู้กำกับละครเรื่อง “ราชินีลูกทุ่ง” ของช่อง 8 อาร์เอส ที่มี “พิ้งกี้ สาวิกา” แสดงนำ งานนี้ทำเอา อ๊อด บัณฑิต โดน “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” ด่าและบ่นทุกวัน เพราะไม่พอใจที่ตนมาเสียเวลาทำงานอย่างอื่น แทนที่จะไปกำกับหนัง ซึ่งเจ้าตัวได้เผยถึงเรื่องนี้ว่า ที่ต้องทำเพราะต้องเลี้ยงดูครอบครัว ลำพังทำหนังปีละเรื่องไม่พอใช้…
“เสี่ยก็ว่า (หัวเราะ) ก็บ่นอยู่ทุกวัน ยอมรับว่าเราต้องทำมาหากิน ต้องเลี้ยงชีพ เรามีครอบครัวต้องดูแล มีค่าใช้จ่ายมากมาย เราไม่สามารถเอาสมองไปทำหนังปีละสองเรื่องได้สามเรื่องได้ โอเคถ้าเราทำได้เราอยู่ได้ แต่ด้วยสมองกับการทำหนังมันต้องทุ่มเท ทั้งความคิดสมองทุกอย่าง ต้องหยุดทุกอย่างเพื่อทำหนัง เพราะคือมาสเตอร์พีซของชีวิต คือจะออกมาดีไม่ดีเราไม่รู้ แต่นั่นคือการทุ่มเทของคนทำหนัง เราทุ่มเทอยู่แล้ว หนังต้องออกมาให้ดีที่สุดเลยไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น ปีหนึ่งทำหนังได้เรื่องเดียวมันอยู่ไม่ได้ ด้วยหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นก็เลยต้องทำงานอื่นๆ ก็โดนด่า โดนต่อว่าบ้าง โดนเรียกไปดุด่าบ้าง ก็ต้องยอมที่จะให้ด่า”
“ตอนนี้ผมยังเป็นผู้กำกับให้กับบาแรมยูในเครือสหมงคลฟิล์มอยู่ และก็ไม่ได้มีปัญหาผิดใจกันครับ ถ้าเป็นงานหนังผมก็ยังทำให้กับทางสหมงคลจนกว่าเสี่ยเจียงไม่อยากให้เราทำ หรือไม่เอาเราแล้วค่อยออก ค่อยหาที่อื่นทำ ตอนนี้เขายังโอเคกับเราอยู่ ก็คงทำไปเรื่อยๆ”
“ถ้าเป็นละครเสี่ยเจียงเขายังแค่ดุเฉยๆ เพราะไม่ได้เป็นธุรกิจคู่แข่ง แค่เขาอยากให้เอาเวลามาทำหนังมากกว่า แต่ถ้าเป็นหนังแกอาจจะโกรธมาก อาจจะเรียกตัดหางปล่อยวัดเลยก็ได้ เพราะถือว่าทำธุรกิจกับคู่แข่ง แต่นี่ไม่ใช่ ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เขารู้สึกว่าเราไปเสียเวลากับที่อื่น ทำไมไม่เสียเวลาทำหนังให้เขาเสียเวลากับงานอื่นทำไม”
ยันแม้จะหันมากำกับละครแต่ก็ไม่คิดจะทิ้งงานกำกับหนัง
“หนังมันเหมือนภรรยาที่เลิกกันไปหย่ากันไป เหมือนแฟนเก่า ยังไงก็ยังคิดถึงอยู่ ก็ต้องมาคุยกันต้องมาหากันบ้างอยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ด้วยกันทั้งชีวิตอาจจะอยู่ไม่ได้ (หัวเราะ) เปรียบเทียบชัดเจน คือ หนังเรื่องของความเป็นอยู่ สถานะภาพ สิ่งแวดล้อมสถานการณ์ของหนังมันทำเป็นอาชีพยังไม่ได้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ครับ ทำให้หลายคนต้องออกมาทำอย่างอื่น บางคนถนัดทำโฆษณา ถนัดทำอีเว้นท์ก็ทำกันไป แต่ว่าผมถนัดละคร ว่างจากหนังก็มาทำละคร แต่ว่ายังไงก็ต้องกลับไปหาหนัง ก็คือขอเวลาสักพักที่จะเตรียมตัวหรือว่าเก็บพลังกายพลังใจที่จะทำหนัง”
“หนังเรื่องต่อไปเรามีบทอยู่ในใจแล้ว แต่ยังไม่มีไอเดีย เป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ เกี่ยวข้องกับผู้หญิงผู้ชายที่ต้องมาเดินทางด้วยกัน จากพ่อแง่แม่งอน สุดท้ายก็รักกัน”
ที่มา: manager.co.th