แคนนอนไทย ประกาศชัดปีนี้ขอเบียดโซนี่ขึ้นเบอร์หนึ่งกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ในไทย ชูจุดเด่นคุณภาพกล้องเข้าสู้ เมินสงครามราคาไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ส่วนกล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์ครองเบอร์หนึ่งต่อด้วยส่วนแบ่งตลาด 70% ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจกล้องดิจิตอลปีนี้ไว้ 6,346 ล้านบาท นายวาตารุ นิชิโอกะ ประธานบริษัท และประธานกรรมการ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ตลาดกล้องดิจิตอลในประเทศไทยในปีนี้มีการแข่งขันสูงขึ้นมาก ทางแคนนอนจึงเตรียมกลยุทธ์เพื่อบุกตลาดกล้องเต็มรูปแบบในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 พร้อมท้าชนคู่แข่งในทุกประเภทสินค้าด้วยทัพกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่จำนวน 23 รุ่น ประกอบด้วย กล้องดิจิตอลคอมแพกต์ กล้องดีเอสแอลอาร์ และกล้องวีดีโอ ที่มาพร้อมกับสุดยอดเทคโนโลยีซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสนุกกับการถ่ายภาพ และพึงพอใจกับประสิทธิภาพของกล้องมากขึ้น โดยในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายในส่วนธุรกิจดล้องดิจิอตลโดยรวมไว้ที่ 6,346 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของแคนนอนที่ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 24% หรือมียอดขายรวมตลอดทั้งปีทะลุ 10,000 ล้านบาท
“ตนมีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ให้ได้ภายในปีนี้”
นายวรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช ผู้อำนวยการอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปส่วนงานคอนซูเมอร์ อิเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเสริมว่า สภาพตลาดกล้องดิจิตอลในปีนี้ การแข่งขันยังคงเป็นเรื่องของราคาเป็นหลัก โดยแฉพาะในตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ที่มีคู่แข่งในตลาดบางแบรนด์มีการดึงราคากล้องระดับกลางลงมาใกล้เคียงกับกล้องระดับล่าง โดยเชื่อว่าปีนี้ขนาดกล้องดิจิตอลคอมแพกต์จะน่าจะมีถึง 1.6 ล้านเครื่อง คิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งหากดูจากไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวในปีนี้ของแคนนอนจะเน้นไปที่คุณภาพของกล้องมากกว่าที่จะเน้นเรื่องราคา ซึ่งแคนนอนมีสัดส่วนการขายกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ในราคาระดับบนอยู่ประมาณ 30% โดยกล้องดิจิตอลคอมแพ็คของแคนนอนราคาถูกสุดอยู่ประมาณ 2,400 บาท ขณะที่ราคากล้องราคาถูกในตลาดจะอยู่ที่ 1,900 บาท
“ปีนี้ แคนนอนมั่นใจว่า จะสามารถขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ได้ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 23% ปีที่แล้วมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่อันดับ 3 ประมาณ 18%”
นายวรินทร์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดการถ่ายภาพโดยรวมถือว่า โตขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของกล้องดิจิตอลบนมือถือ ซึ่งทำให้ตลาดกล้องดิจิตอลที่ต้องการภาพถ่ายที่มีคุณภาพก็เติบโตตามขึ้นไปด้วย นอกเหนือจากกลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพแล้ว การสร้างประสบการณ์โดยให้ลูกค้าได้ลองทดสอบการใช้งานและประสิทธิภาพของผ่านคอนเซปต์สโตร์ของแคนนนอนที่ปีนี้จะเปิดอีก 6 ช็อปในต่างจังหวัดก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ของแคนนอนในต่างจังหวัดมีโอกาสขยายตัวได้อีก โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากลูกค้าในกรุงเทพฯ 70% กับต่างจังหวัด 30% ซึ่งแนวโน้มที่ตลาดต่างจังหวัดมีโอกาสขยับมากกว่าดีได้อีก แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นเท่าไร แต่เชื่อว่า การมีคอนเซ็ปต์สโตร์น่าจะมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดต่างจังหวัดเติบโตได้อีกมาก
ส่วนตลาดกล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์นั้น ปีนี้ยังมีความมั่นใจว่า จะขยายส่วนแบ่งตลาดเพิ่มได้เป็น 65-70% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 60-65% ถึงแม้ว่าคู่แข่งในตลาดจะมีการรุกตลาดเพิ่มมากขึ้นก็ตาม โดยมูลค่าตลาดรวมปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีประมาณ 3,065 ล้านบาท
ล่าสุด ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะทำตลาดในช่วง 6 เดือนแรก ประกอบไปด้วย EOS-1D X กล้องดีเอสแอลอาร์แบบฟูลเฟรมที่เร็วที่สุดในโลก EOS 5D Mark III กล้องฟูลเฟรมระดับโปร โดดเด่นทั้งการถ่ายภาพนิ่งและถ่ายภาพเคลื่อนไหว PowerShot G1 X กล้องดิจิตอลคอมแพกต์ระดับโปรซูมเมอร์ที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ CMOS เลนส์ UA ใหม่ และ DIGIC 5 จากกล้องดีเอสแอลอาร์ มาใช้ในกล้องคอมแพกต์ IXUS HS series กล้องดิจิตอล และกล้องวีดีโอไฮเดฟฟินิชั่น LEGRIA ที่มาพร้อมเทคโนโลยีไว-ไฟ และแอปพลิเคชัน Camera Window ซึ่งพัฒนาขึ้นระหว่างแคนนอนและแอปเปิล ในการเชื่อมต่อกล้องดิจิตอลเข้ากับสมาร์ทโฟนระบบไอโอเอสเพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำภาพถ่ายคมชัด มีคุณภาพสูง เพราะถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลที่แท้จริง แบ่งปันในโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ได้ในทันที
ที่มา: manager.co.th