Benq Joybee GP2 โปรเจกเตอร์แบบพกพาที่เบ็นคิวนำเข้ามาทำตลาดในราคา 21,900 บาท เบ็นคิว หันเป้ารุกตลาดองค์กรเป็นหลัก ตั้งเป้าผลิตภัณฑ์โปรเจกเตอร์โต 50% ชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 20% จากเดิม 14.5% พร้อมเพิ่มไลน์สินค้าแท็บเล็ต อุปกรณ์การแพทย์ และไฟแอลอีดี หลังเลิกทำธุรกิจโน้ตบุ๊กตั้งแต่ปีที่ผ่านมา นายเอเดียน ชาง ประธานบริหาร บริษัท เบ็นคิว (เอเชีย-แปซิฟิค) กล่าวถึงเป้าหมายการทำตลาดในปีนี้ว่า บริษัทจะให้ความสำคัญกับตลาดองค์กร และภาครัฐมากขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของเบ็นคิว ทั้งจอมอนิเตอร์ และโปรเจกเตอร์ เหมาะจะทำตลาดในรูปแบบโปรเจ็คมากกว่า ทำให้สัดส่วนรายได้ของบริษัทจากเดิมที่เป็นรีเทล 70% ต่อคอร์ปอเรต 30% อาจเพิ่มขึ้นมาเป็น 60% ต่อ 40% ภายในสิ้นปีนี้
"เป้าหมายรายได้ของเบ็นคิวในปีนี้ตั้งไว้ที่ 1 พันล้านบาท จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 650 ล้านบาท โดยคาดว่าตลาดโปรเจกเตอร์ จะสามารถเติบโตจากเดิมได้ถึง 50% เนื่องจากความนิยมในโปรเจกเตอร์แบบ DLP ซึ่งเบ็นคิวเป็นเจ้าตลาดได้รับความนิยมมากขึ้น"
ปีที่ผ่านมาเบ็นคิวมีส่วนแบ่งในตลาดโปรเจกเตอร์ราว 14.5% และคาดว่าในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ใกล้เคียงกับอันดับ 1 ในตลาดรวมมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าปีนี้จะมีโปรเจกเตอร์ในตลาดมากกว่า 1 แสนเครื่อง จากปีที่ผ่านมา 80,000 เครื่อง
"คาดว่าในปีนี้จะมีโปรเจกเตอร์รุ่นใหม่เข้ามาในตลาดราว 15 − 25 รุ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบ DLP และมี 2 รุ่นเป็นแอลอีดี"
นอกจากนี้เบ็นคิวยังมองว่าการเติบโตของร้านไอสตูดิโอ ที่วางจำหน่ายสินค้าของผลิตภัณฑ์แอปเปิล ในประเทศไทยมีจำนวนมาก ทำให้เล็งเห็นช่องทางในการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างโปรเจกเตอร์แบบพกพา ที่สามารถเชื่อมต่อกับไอโฟน เพื่อฉายโปรเจกต์เตอร์ได้ทันทีเข้ามาทำตลาด
"งบในการทำตลาดปีนี้จะเพิ่มจาก 2% ของรายได้รวมเป็น 4% ซึ่งส่วนหนึ่งนำมาช่วยทำตลาดโปรเจกเตอร์ GP2 ที่เชื่อว่าจะได้รับความนิยมจากผู้นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล ขณะเดียวกันยังเล็งที่จะทำตลาดผลิตภัณฑ์อย่างกล้องดิจิตอล เพิ่มเติม รวมไปถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ และหลอดไฟแอลอีดี"
ปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้ของเบ็นคิวมาจากผลิตภัณฑ์จอมอนิเตอร์เป็นหลักที่ 55% รองลงมาเป็นโปรเจกเตอร์ที่ 40% ส่วนที่เหลือเป็นกล้องดิจิตอล และอุปกรณ์เสริมไอที ส่วนปีนี้จะเพิ่ม การทำตลาดหลอดไฟแอลอีดี ที่ทำตลาดกับองค์กรโดยเฉพาะ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้สัดส่วนรายได้เปลี่ยนแปลงกจากเดิม เป็นมอนิเตอร์ 50% โปรเจกเตอร์ 35% - 40% ส่วนที่เหลือราว 15% เป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ส่วนในผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก เบ็คคิวมองว่าเทรนด์ตลาดไอที หันไปสู่ตลาดอุปกรณ์พกพามากขึ้น และผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กของเบ็นคิวไม่สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ จึงเลิกการทำตลาดทั่วโลก ส่วนตลาดอีบุ๊กไม่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ในแง่ของโซลูชันที่จะมารองรับ และจะมีแท็บเล็ตแอนดรอยด์เข้ามาทำตลาดในส่วนนี้แทน
"เบ็นคิวจะทำตลาดแท็บเล็ต โดยเน้นตลาดองค์กรเป็นหลัก ด้วยความร่วมมือกับผู้จำหน่ายในประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมประมูลในโปรเจ็คภาครัฐ การศึกษา และองค์กรต่างๆ โดยไม่ทำตลาดในส่วนของคอนซูเมอร์"
Company Relate Link :
Benq
ที่มา: manager.co.th