“อั๊ต อัษฏา” น้ำตาไหลบวชทดแทนคุณพ่อ-แม่ และบวชให้กับ “ป้าจุ๊” ที่เสียชีวิตไปแล้ว ได้ฉายา กิตติวัฑฒโณ แปลว่าผู้เจริญด้วยชื่อเสียง แพลนบวช 15 วัน ถึงหนึ่งเดือน ลั่นอยากศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง พร้อมเผยลาออกจากงานที่สิงคโปร์เตรียมกลับมาอยู่เมืองไทย เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงบ่ายของวันนี้(4 กุมภาพันธ์) ที่วัดสระเกศ สำหรับอดีตพระเอกและพิธีกรชื่อดัง “อั๊ต อัษฏา พานิชกุล” ได้ฉายา กิตติวัฑฒโณ แปลว่าผู้เจริญด้วยชื่อเสียง โดยมี ดร.ก่อเกียรติ พานิชกุล และ นางอุบล พานิชกุล พ่อและแม่ รวมถึงญาติสนิทและเพื่อนพ้องในวงการบันเทิงเดินทางมาร่วมอนุโมทนาบุญหนาตา อาทิ ดีเจเอกกี้ เอกชัย เอื้อสังคมเศรษฐ์ , อ้อม สุนิสา, ปราโมทย์ แสงศร, อเล็กซ์ เรนเดลล์, โอ อนุชิต, หน่อง อรุโณชา, พิม ซอนย่า และสามี , ตู่ นพพล, นุช ปรียานุช โดนพิธีบวชในครั้งนี้ไม่มีการแห่นาคเพราะฝนตกลงมากะทันหัน
โดย “อั๊ต อัษฎา” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การบวชในครั้งนี้ นอกจากตั้งใจบวชทดแทนบุญคุณพ่อ-แม่แล้ว ตนยังถือโอกาสบวชให้กับ “ป้าจุ๊ จุรี โอศิริ” ที่เสียชีวิตไปด้วย
“ตั้งใจบวชมาตั้งนานแล้วแต่ว่าไม่มีโอกาสที่จะกลับมาบวชที่เมืองไทยเป็นเรื่องเป็นราว ก็อยากบวชให้พ่อแม่ ด้วยเวลาและอะไรต่างๆ ทุกอย่างตอนนี้ก็ลงตัวเคลียร์งานได้หมดแล้วเลยถือโอกาสบวช และเนื่องจากคุณยายจุรีเพิ่งเสียด้วย ก็อยากจะบวชให้คุณยาย และคิดว่าส่วนใหญ่ผู้ชายในชีวิตต้องหาเวลามาบวชเพื่อพ่อแม่ เพื่อนฝูง คนรอบข้างที่ทำให้เรามีชีวิตจนทุกวันนี้ ตอนนี้ตั้งใจบวช 15 วันถึง 1 เดือน แต่หลวงพี่บอกให้เข้ามาก่อน แต่ถ้าถึงเวลาแล้วอยากอยู่ต่อก็อยู่ได้”
“ผมอยากศึกษาธรรมะเรื่องศาสนาและวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมากับบ้านเรา อย่างศาสนาพุทธเองสามารถไปศึกษาที่ประเทศอินเดียได้ แต่ในเมืองไทยบ้านเราจะถูกปลูกฝังเรื่องของวัฒนธรรมมากกว่า เช่นวันนี้ผมมาบวชก็จะมีญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาเป็นกำลังใจกันเยอะมาก และยังเป็นการที่เราได้อโหสิกรรมให้กับผู้ใหญ่และพ่อแม่พี่น้อง ผมเป็นคนไทยก็คิดว่านี่คือเชื้อชาติของผมและศาสนาของผมด้วย”
“ส่วนเรื่องการจำวัด ณ ตอนนี้คงจะจำที่นี่ก่อน พ่อแม่ผมทั้ง 2 ท่านก็คงรู้สึกดีใจมากเพราะว่าคุณแม่ก็เพิ่งจะเกษียรเมื่อปีที่ผ่านมา ส่วนคุณพ่อเกษียรไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ทั้ง 2 ได้อยู่เมื่อไทยพร้อมกัน ที่ไม่ได้ร่วมงานนี้ก็คงจะเป็นน้องชายที่ตอนนี้ติดภารกิจอยู่อเมริกาเลยมาไม่ได้ ตอนที่ผมไปลาสิขากับพ่อแม่ก็รู้สึกดีครับ มันเป็นความนิ่ง ซึ่งงานนี้ทั้งพ่อแม่เพื่อนๆ มาเป็นกำลังใจให้กันเยอะ ก็รู้สึกซาบซึ้งครับเพราะผมก็หายไปจากเมืองไทยนานถึง 4 ปี พอได้มาเห็นญาติพี่น้องมารวมอยู่ในงานผมก็น้ำตาไหลเพราะรู้สึกดีมากครับ ส่วนเพื่อนๆ ที่มาไม่ได้เขาก็ส่งกำลังใจมาให้”
ส่วนงานประจำที่ทำอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์เจ้าตาบอกได้ลาออกแล้ว หลังศึกคงกลับมาอยู่เมืองไทยมากขึ้น
“ที่สิงคโปร์เนื่องจากผมทำรายการกับทางเอ็มทีวีมา14 ปี และเพิ่งจะลาออกจากรายการนี้เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ผมก็เลยมีเวลาเตรียมงานประมาณ 2-3 เดือน ส่วนบริษัทของผมเองที่สิงคโปร์ผมก็มีลูกน้องคอยดูแลอยู่ ผมคิดว่าหลังจากสึกแล้วผมคงจะใช้ชีวิตในเมืองไทยมากขึ้นเพราะคิดถึงเมืองไทย ส่วนงานในวงการบันเทิงก็คงดูไปก่อน ถ้าน่าสนใจก็คงทำ แต่ตอนนี้ที่ตั้งใจไว้คือเรื่องของการบวชและศึกษาธรรมะก่อน ถ้าสึกเมืองไหร่ก็คงจะดูทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ก็คงจะทำควบคู่กันไป เพราะทุกวันนี้ที่ทำงานในสิงคโปร์ก็ทำงานแบบนี้เหมือนกัน”
ที่มา: manager.co.th