กลุ่มซัมซุง (Samsung Group) ประกาศงบลงทุนประจำปี 2012 มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทุบสถิติที่ 4.14 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.28 ล้านล้านบาท เชื่อซัมซุงต้องการตอกย้ำภาพเบอร์ 1 ในตลาดชิปอุปกรณ์พกพาและสินค้ากลุ่มหน้าจอแบนหรือแฟลตสกรีนต่อไป
การลงทุนครั้งนี้ของซัมซุงถูกวิเคราะห์ว่าเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งซัมซุงมักจะเทเงินทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ให้นำหน้าคู่แข่ง โดยงบประมาณ 4.14 หมื่นล้านเหรียญนั้นคิดเป็นเงิน 47.8 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นจาก 42.8 ล้านล้านวอนเมื่อปี 2011 ราว 12% สวนทางกับคู่แข่งร่วมชาติอย่างแอลจี (LG Electronics Inc) ที่ปรับลดเม็ดเงินลงทุนลง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐเพราะพิษเศรษฐกิจโลกตั้งเค้า
แม้ซัมซุงจะไม่เปิดเผยรายละเอียดการลงทุน แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าเงินทุนมหาศาลนี้จะถูกนำไปยกระดับธุรกิจชิปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่และหน้าจอ OLED หน้าจอพันธุ์ใหม่ถัดจาก LCD ที่ครองตลาดหลักในปัจจุบัน โดยข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า ในงบลงทุนทั้งหมดของซัมซุง เงินราว 31 ล้านล้านวอนจะเป็นการลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์มาใช้ในการดำเนินงานของบริษัท (capital spending) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 11% จากปีที่แล้ว โดย 25 ล้านล้านวอน หรือ 80% ของ capital spending ของซัมซุงจะทำในนามบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นบริษัทไอทีที่มียอดขายสูงที่สุดในโลกขณะนี้
นักวิเคราะห์ ลี ซุน-เท (Lee Sun-tae) จากบริษัทเงินทุน NH Investment & Securities ให้สัมภาษณ์ว่าเงินลงทุน 47.8 ล้านล้านวอนที่ซัมซุงประกาศนั้นเหนือกว่าบริษัทไอทีรายอื่น ผลคือซัมซุงจะมีโอกาสเติบโตและทิ้งห่างคู่แข่งมากกว่าเดิม โดยเฉพาะธุรกิจชิปซึ่งมีแนวโน้มว่าซัมซุงจะใช้เงินไม่ต่ำกว่า 7.5 ล้านล้านวอนในการลงทุนพัฒนาชิปที่เป็นหน่วยประมวลผลและระบบเซ็นเซอร์สำหรับใช้ในสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และกล้องดิจิตอล
จุดนี้นักวิเคราะห์ชี้ว่า ตัวเลข 7.5 ล้านล้านวอนนั้นสูงกว่าการลงทุนในการพัฒนาชิปหน่วยความจำทั่วไปถึง 1 ล้านล้านวอน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การลงทุนของซัมซุงที่เม็ดเงินในการพัฒนาชิปประมวลผลนั้นสูงกว่าชิปหน่วยความจำ
นอกจากชิป นักวิเคราะห์เชื่อว่าซัมซุงจะลงทุนในการพัฒนา OLED ราว 7 ล้านล้านวอนในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ลงทุนไป 5 ล้านล้านวอน โดยทุนส่วนนี้เชื่อว่าจะถูกแบ่งให้การพัฒนาจอ LCD, แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ และหน้าจอ LED ไปพร้อมกัน
ทุนพัฒนาชิปและหน้าจอนี้คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนผลประกอบการบริษัท Samsung Electronics ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปประมวลผลให้ไอโฟน (iPhone) ไอแพด (iPad) ของแอปเปิล และผลิตภัณฑ์กลุ่มแกแล็กซี่ (Galaxy) ของซัมซุง รวมถึงบริษัท Samsung Mobile Display ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน้าจอ OLED แก่ผู้จำหน่ายอุปกรณ์พกพาหลายแบรนด์
จุดนี้คาดว่าซัมซุงจะได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของตลาด OLED อย่างเต็มที่ โดยบริษัทวิจัย DisplaySearch พบว่ารายรับในตลาดหน้าจอ OLED จะทะลุ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2018 คิดเป็น 16% ของรายรับในตลาดรวมหน้าจอทั่วโลก เพิ่มขึ้นจาก 4% ในปีนี้
ซัมซุงนั้นเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีซึ่งมีบริษัทในเครือไม่ต่ำกว่า 80 บริษัท รายรับรวมของบริษัทนั้นคิดเป็น 20% ของจีดีพีประเทศ โดยหากรวมการลงทุนมากกว่า 47 ล้านล้านวอนในปีนี้ เท่ากับซัมซุงได้ลงทุนไปมากกว่า 148 ล้านล้านวอนแล้วนับตั้งแต่ปี 2009 (ราว 3.97 ล้านล้านบาท)
***รวม"บาดา"กับ"ทิเซน" นอกจากการลงทุน ซัมซุงยังเปิดเผยว่ากำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่อย่างอินเทล ในการรวมแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์สำหรับอุปกรณ์พกพา 'บาดา (bada)' เข้ากับแพลตฟอร์ม "ทิเซน (Tizen)" ซึ่งอินเทลเป็นผู้สนับสนุนหลัก จุดประสงค์เพื่อจะไม่ต้องยึดติดกับแพลตฟอร์มของกูเกิลอย่าง "แอนดรอยด์ (Android)" แพลตฟอร์มเดียว
ทั้งหมดนี้ โฆษกซัมซุงให้ข้อมูลยืนยันการร่วมกันพัฒนาทิเซนระหว่างอินเทลและซัมซุงอย่างเป็นทางการตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าแพลตฟอร์มมาตรฐานเปิดอย่างทิเซนจะช่วยให้ซัมซุงสามารถพัฒนาสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ทีวีอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และระบบฝังตัวในรถยนต์ได้ดีกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการประกาศครั้งนี้จะมีผลต่ออุตสาหกรรมไอทีโดยรวมเมื่อใด เนื่องจากบาดานั้นเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกใช้งานเพียง 2.2% ของตลาดรวมสมาร์ทโฟนโลกเท่านั้น ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับแอนดรอยด์ที่มีสัดส่วนสูงถึง 53%
Company Related Link :
Samsung
ที่มา: manager.co.th