“เสก” อาการหนัก ถึงขั้นเพ้อตัวเองเป็นคนชั้นสูง แถมหนีออกจากสถานบำบัด ด้านแหล่งข่าวในสถาบันธัญญารักษ์เผย เสกมีโอกาสหายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สมองในส่วนของประสาทการรับรู้โดนทำลายแน่ๆ เหตุมีอาการประสาทหลอน แต่ยังสามารถแต่งเพลงได้เหมือนเดิม พร้อมยกตัวอย่างกรณี “ยุ้ย รจนา” ที่เป็นน้อยกว่าเสก แต่ยังต้องกินยาเป็นเวลานานจนมีผลข้างเคียงทำให้ลิ้นแข็ง ซึ่งถ้าหากเสกเป็นเหมือนยุ้ยย่อมมีปัญหากับการร้องเพลงอย่างแน่นอน หลังจากที่ “กานต์ วิภากร” อดีตภรรยาของ “เสก โลโซ” ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของตนเอง แฉอดีตสามีแอบหนีออกจากสถาบันธัญญารักษ์กลับบ้าน ในวันที่ทีมแพทย์และครอบครัวเปิดแถลงข่าวการรักษา เหตุเพราะคิดถึงลูก-เมียและเป็นห่วงทรัพย์สิน ทีมข่าวบันเทิง “ASTVผู้จัดการออนไลน์” จึงสอบถามกรณีดังกล่าวไปยังแหล่งข่าวที่ทำงานในสถาบันธัญญารักษ์ ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง
โดยเมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา เสกได้ขี่จักรยานหนีออกมาเรียกแท็กซี่ โดยทิ้งจักรยานไว้หน้าสถาบันฯ จากนั้นก็มีภรรยาของเจ้าตัวมาส่งเพื่อกลับมารับการบำบัด ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นที่โจษจันของคนที่สถาบันธัญญารักษ์เป็นอย่างมาก ซึ่งแหล่งข่าวได้กล่าวเสริมว่า โดยกฎระเบียบทางสถาบันฯไม่ให้พกเงินสดเข้ามา จึงคาดว่าเสกน่าจะไปเอาเงินที่ปลายทาง หรือไม่ก็อาจจะเป็นญาติพี่น้องที่มาเยี่ยมแอบเอาไว้ให้หรือเปล่าซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้ ส่วนสถานที่พักที่เสกอยู่จะเป็นตึกพิเศษ เป็นห้องเดี่ยว มีตู้เย็น มีแอร์ มีทีวีให้ดู เพราะฉะนั้นเสกสามารถจะรับรู้ข่าวสารได้ตลอดเวลา ซึ่งขณะที่เสกรักษาตัวก็ถือเป็นคนไข้ที่ดี ไม่ถือตัว และยังเป็นที่รักของเพื่อนผู้ป่วยและทีมหมอที่รักษา
นอกจากนี้ แหล่งข่าวคนเดิมยังเปิดเผยถึงรายละเอียดในส่วนของการรักษาด้วยว่า นับตั้งแต่ที่เสกเข้ามารับการบำบัด นักร้องดังมีปัญหาเรื่องการรับรู้ จะมีการเพ้อคิดว่าตัวเองเป็นคนชั้นสูง และมีอาการหวาดระแวง แต่ระยะหลังดีขึ้นอาการหวาดระแวงเริ่มหาย แต่อาการเพ้อคิดว่าตัวเองเป็นคนชั้นสูงยังไม่หาย
สำหรับสารเสพติดที่เป็นสารกระตุ้นที่หมอไม่ยอมเปิดเผยว่า เสกใช้ยาตัวไหนกันแน่นั้น จะมี 2 ตัว คือ ยาบ้า กับยาไอซ์ แต่ยาไอซ์จะรุนแรงกว่ายาบ้า เพราะจะส่งผลเสียต่อประสาทการรับรู้มากกว่า แต่อาการของเสกจะหนักหนาแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้ยามานานหรือยัง และความถี่ในการใช้มีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก่อนหน้านี้กานต์อดีตภรรยาเคยบอกว่าเสกใช้ยานี้มา 7-8 ปีแล้ว
ทั้งนี้ต้องเช็คภาวะสมองตอนนี้อย่างละเอียดก่อนว่า โดนทำลายไปมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่ดูจากอาการน่าจะมีส่วนที่โดนทำลายเพราะเสกมีอาการเพ้อและหวาดระแวง แต่ส่วนจะมีผลในเรื่องของการแต่งเพลงหรือไม่นั้น แหล่งข่าวเผยว่าไม่น่ามีเพราะสมองส่วนที่ถูกทำลายเป็นสมองด้านของการรับรู้ ถึงได้เกิดอาการหลอนต่างๆ แต่ยังสามารถแต่งเพลงได้เหมือนเดิม แต่ถ้าหากดูจากอาการที่เสกเป็นอยู่ถือว่าเป็นอาการที่หนัก
ครั้นพอสอบถามเรื่องสมองของเสกว่า จะกลับมาหายร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ แหล่งข่าวคนเดิมก็แจงว่ายังประเมินไม่ได้ เพราะต้องอยู่ที่ผู้ป่วยด้วย โดยทั่วไปจะต้องใช้เวลาในการรักษา 6 เดือนขึ้นไป แต่คิดว่าสมองมีความเสียหายแน่นอนเพรามีอาการประสาทหลอน
พร้อมกันนี้ยังได้ยกตัวอย่างกรณีของ “ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา” ที่ติดโคเคนสมัยเป็นนางแบบอยู่ที่เมืองนอกว่า ก็มารักษาที่สถาบันฯนี้เหมือนกัน แต่ยุ้ยมีอาการน้อยกว่าเสก แต่แม้จะรักษามาหลายปีแล้วแต่ยุ้ยก็ยังมีอาการลิ้นแข็งอยู่ เวลาพูดก็ยังพูดไม่ชัด และยังต้องกินยาทุกวัน ก่อนจะอธิบายต่อว่า อาการลิ้นแข็งเป็นผลข้างเคียงของยาที่กิน ถ้าเสกรักษาแล้วหายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ต้องกินยา แต่ถ้าเกิดรักษาแล้วไม่หายและจะต้องมีการกินยาพวกนี้เป็นระยะเวลานานๆ ก็อาจจะทำให้มีการอาการดังกล่าว และคงมีผลกับการร้องเพลงแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน อย่างกรณีของยุ้ยอาจจะแพ้ทำให้เกิดอาการข้างเคียง ทั้งนี้ยังมียาอีกหนึ่งตัวที่ใช้แก้ไขอาการลิ้นแข็ง ซึ่งอาจจะช่วยไม่ได้มากแต่ก็ช่วยได้บ้าง อย่างไรก็ตามก็ต้องอยู่ที่เสกว่าจะรักษาหายหรือไม่ ถ้าไม่หายก็ต้องกินยาแบบนี้เช่นกัน ซึ่งจะต้องรอดูอาการหลังจากรักษาได้ 6 เดือนไปแล้ว และหลังจากนั้นก็ดูอาการต่อไป
ที่มา: manager.co.th