Author Topic: มองน้ำท่วมผ่านสายตา “เจ” ถ้าเป็นผมจะไม่กั้นบิ๊กแบ๊ก กับปริศนาปักธงแดงได้ของมากกว่าจริงห  (Read 872 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46027
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“เจ เจตริน” ผ่าวิกฤติน้ำท่วม เผยถ้าเป็นหน่วยงานรัฐจะไม่กั้นบิ๊กแบ๊กเพราะรู้ชาวบ้านรอบนอกเดือดร้อน ในขณะที่เด็กในเมืองวิ่งแต๊ดแต๋สบายใจ บอกควรแก้ไขโดยการช่วยชีวิตคนก่อนไปปกป้องสิ่งของ พร้อมเล่าประสบการณ์ขณะลงพื้นที่เสี่ยงไฟดูด- จระเข้ แต่ยังไม่น่ากลัวเท่าเจอพวกคลั่งลัทธิการเมือง ปักธงแดงได้ของบริจาคเยอะกว่า ปาของใส่ทหาร
       
       น้ำท่วมในปีนี้ถึงแม้จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองมหาศาล แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ได้เห็นธาตุแท้ของนักการเมืองบางกลุ่มและบางคน ที่อาศัยช่วงวิกฤติกอบโกยผลประโยชน์เข้าใส่ตัว บ้างก็ทุจริตถุงยังชีพ บ้างก็หน้าด้านเอาของที่ประชาชนบริจาคแปะชื่อตัวเองหรือไม่ก็ขนขึ้นรถที่ติดภาพตัวเองหรา และอีกสารพัดความน่ารังเกียจที่หางโผล่ออกมาในช่วงที่คนไทยกำลังเจ็บปวดแสนสาหัส
       
       แต่ในวงการบันเทิงเรากลับได้เห็นความตื่นตัวของดาราไม่ว่าจะเป็นการกล้าแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา หรือการลงทุนลงแรงเป็นอาสา แต่ที่โดดเด่นและเป็นที่กล่าวขวัญมากที่สุดเห็นจะเป็น “เจ เจตริน วรรธนะสิน” นักร้องชื่อดัง ที่ก่อตั้งกลุ่ม FLOOD FIGHT ขึ้นมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยและลงพื้นที่แทบจะทุกวันชนิดส.ส.ในพื้นที่อาจต้องอายเลยทีเดียว
       
       แม้แต่ศปภ.ก็อาจต้องหน้าม้านไม่แพ้กันเมื่ออ่านบทสัมภาษณ์ของเจที่มีวิธีคิดและการช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่ซับซ้อน พร้อมกันนี้เจยังได้เปิดเผยถึงข้อมูลขณะไปลงพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ขณะไปทำงาน หรือว่าข่าวลือที่ว่า “ปักธงแดงได้ของบริจาคเยอะกว่า” และ “ทหารผู้เสียสละโดนปาข้าวของใส่” ไปฟังเรื่องจริงจากอาสาหน้าหล่อที่ช่วยเหลือชาวบ้านโดยไม่หวังคะแนนเสียงกัน
       
       “ผมเริ่มออกไปช่วยตั้งแต่ปีที่แล้วตอนนั้นน้ำท่วมที่หาดใหญ่ เรานั่งดูข่าวในทีวีแล้วก็แบบ เฮ้ย...ตรงนี้เราเคยไป เฮ้ยตลาดนี้เราเคยเดินเล่น โรงแรมนี้เราเคยอยู่ เฮ้ย..มันท่วมขนาดนี้เลยเหรอ มันเลยหัวเลยเหรอ มันหนักนะเนี่ยทำยังไงดี อีกวันผมก็หิ้วเป้ลงไปกับเพื่อนเลย แล้วก็โทรหาเพื่อนที่สุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นทีมเจ็ทสกี เฮ้ย...นายเอาเจ็ตสกีลงมาช่วยหน่อย พอไปถึงสนามบินหาดใหญ่ก็เดินวนอยู่เป็นชั่วโมงไม่รู้จะไปยังไงโทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ ก็เลยเดินไปที่ทหารอากาศก็เจอรถจีเอ็มซีขึ้นไปก็เจอจิตอาสาเพียบเจอกาละแมร์(พัชรศรี เบญจมาศ)เอาของมาบริจาค ก็เลยเริ่มต้นการช่วยเหลือตั้งแต่ตอนนั้น”
       
       “สิ่งที่เราไปเห็นคือคนเหมือนซอมบี้เดินลุยน้ำระดับอกออกมา ตั้งแต่นั้นมามันก็หยุดไม่ได้เพราะเรารู้ว่าหลายๆ คนกำลังรอความช่วยเหลือ พออยุธยา บางปะหัน ชัยนาท และสิงห์บุรีท่วมผมก็ไปลงพื้นที่อีกไปลำเลียงถุงยังชีพและก็เข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ยังติดค้างอยู่ในบริเวณที่เป็นเขตน้ำท่วม”
       
       “ภาพที่เห็นในทีวีกับภาพที่เราเห็นจริงๆ มันไม่เหมือนกันมันเลวร้ายกว่าเป็นร้อยเท่า เพราะดูในทีวีก็จะเห็นว่าน้ำสูงนะ แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าร้อนหรือเปียกเหม็นเน่า แต่พอเรายืนอยู่ตรงนั้นปุ๊บเราจะตั้งคำถามแล้วว่า เฮ้ย...พี่จะอยู่ยังไงวะเนี่ย เฮ้ย...พอพระอาทิตย์ตกมืดๆ จะทำไงวะเนี่ย เฮ้ย...ถ้างูมาจะทำไงวะ แล้วโจรมาทำไง”
       
       “แต่ถ้าดูในทีวีก็จะแบบโอเคน้ำท่วม โจรขึ้นก็อืม...ทำไมไม่ระวังมันล่ะ แต่ลองคิดดูดิว่า ถ้าคุณตื่นนอนมาคุณกินมาม่า อาหารเที่ยงมาม่า ตกเย็นมาคุณกินปลากระป๋อง ตื่นเช้ามาคุณกินมาม่า อีกมื้อนึงปลากระป๋องกับมาม่า ตกเย็นมาม่ากับปลากระป๋อง คุณวนแค่ 2 วันคุณก็ตายแล้ว แต่เขากินวนอยู่เป็นเดือน”
       
       “พอมาปีนี้เป็นปีที่เราทำงานหนักเต็มที่เรียกว่าหนักกว่าปีที่แล้ว เพราะตอนที่หาดใหญ่เรายังไม่มีประสบการณ์ช่วยเหลือมากและมันก็อยู่ไกลพอสมควรก็เลยช่วยไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยซักเท่าไหร่ แต่ปีนี้มันมาท่วมที่กรุงเทพและพุทธมณฑล มันเกิดใกล้บ้านเราเลยหลังซอย เพราะฉะนั้นเราก็ช่วยอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นเขตไหนที่เราสามารถไปได้ พุทธมณฑล , นนทบุรี , สายไหม , คลองสามวา , พหลโยธิน , คปอ. ,ปทุมธานี , นครนายก , รังสิต , คู้บอน , รามอินทรา , ดอนเมืองฯลฯ เราลุยให้หมดเลย และก็ก่อตั้งเป็นกลุ่ม FLOOD FIGHT ขึ้นมา”
       
       “เราก่อตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นองค์กรในการประสานงานติดต่อขอความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น ใครอยากจะช่วย FLOOD FIGHT ใครอยากจะร่วมมือ ใครอยากจะบริจาคของ ใครอยากจะมีจิตอาสานำน้ำมาบริจาค หรือใครอยากจะให้เราช่วยทางด้านไหนก็ติดต่อเข้ามาหาเรา โดยที่เราได้เซ็ทเบอร์ขึ้นเบอร์หนึ่งเลย และใช้ทวิตเตอร์ในการสื่อสารกัน เรียกว่าปีนี้ทำฟูลสเกลเลย”
       
       “แต่ผมไม่อยากจะไปเปิดบัญชีเรี่ยไรเงินเพราะทำไม่เป็น ผมไม่ทำระบบนั้นเพราะเงินแบบนั้นมันจะต้องมีขั้นตอน การทำงานมันก็ต้องมาช้าอีกเหนื่อยอีกกว่าจะไปขั้นตอนนั้นขั้นตอนนี้ เราไม่ใช่มูลนิธิที่จดทะเบียนเป็นแค่กลุ่มของผมที่ทำขึ้นมา เพราะฉะนั้นผมก็เลยลงทุนผลิตเสื้อยืด FLOOD FIGHT ขึ้นมาต้นทุนก็หลายแสน และก็ไปขายที่ลานพารากอนก็ขายได้เยอะพอสมควรคนก็มาซื้อย่างเต็มใจ และเราก็บอกว่าเงินนี้เราขอใช้ในการบำรุงภารกิจของทีมและนำไปซื้อสิ่งของที่จะบริจาค”
       
       “พอเราเริ่มมีเงินเข้ามาช่วยก็ทำให้เราสามารถซื้อเรือยาง 4.2 เมตร ซื้อเครื่อง 25 แรงสามารถเติมน้ำมันออกได้ทุกวัน สามารถเติมรถกะบะที่จะต้องลงพื้นที เติมรถบรรทุกที่จะต้องลงพื้นที่ จ้างสต๊าฟที่จะต้องมาดูแลตั้งแต่รถตั้งแต่เรือตั้งแต่เครื่อง ในช่วงวีคแรกเราก็สามารถที่จะเรี่ยไรและผสมกับเงินตัวเองซื้อเจ็ตสกีเพิ่มอีกหนึ่งลำ และเจ็ตลำนี้ก็จะเก็บบูชาไว้สำหรับน้ำท่วม พอน้ำท่วมเมื่อไหร่ลำนี้ก็จะออกทันที”
       
       “สำหรับการช่วยเหลือในวีคแรกของน้ำท่วมผมจะวางเอาไว้คือ ช่วยคนแก่ คนป่วย เด็ก และคนพิการออกมาก่อน ซึ่งเราก็สามารถช่วยได้ออกมาหลายๆ สิบชีวิตเลยมากมายจริงๆ พอวีคถัดไปก็เป็นเรื่องราวของการช่วยทยอยคนที่ยังติดค้างออกมา และอีกวีคก็เป็นเรื่องของการนำเรือไปผสมกับทีมอาสาอื่นเอาเงินที่ได้จากการขายเสื้อไปผลิตถุงยังชีพ รับบริจาคน้ำ ซื้อยาเข้าไปแจกหลายๆ ที่ ไปถามคนแถวสายไหมจะเห็นผมบ่อยมาก และก็แถวลำลูกกา คลองสามวา ทวีวัฒนา ฯลฯ เราก็เอาของไปบริจาค”
       
       “ถุงยังชีพเป็นสิ่งสำคัญผมจะสกรีนทุกถุง ถ้าใครเอามาบริจาคผมจะเปิดดูทุกถุง ถ้าเอาประเภทอาหารกรุบกรอบผมโยนทิ้งไม่เอาเปลืองเสียเวลาเสียพื้นที่เรือผม ถุงยังชีพของผมเปิดมาจะต้องมีข้าวสาร ปลากระป๋องเยอะๆ ต้องมีมาม่า มีหมูหยอง นมเด็ก คือพูดง่ายๆ ถุงหนึ่งของผมไม่แพ้ถุงช่อง 3 เอาเต็มน่ะต้องมีเต็ม ข้าวสารนี่ต้อง 3 กิโลขึ้นไปต้องให้เขาอยู่ได้ซักหนึ่งอาทิตย์”
       
       “หลังจากนั้นพอน้ำมันเริ่มลง FLOOD FIGHT ก็จะไปซื้อไม้กวาดมาหลายพันชุด ซึ่งผมไปเหมาจากชาวบ้านต่างจังหวัดเป็นการกระจายรายได้อย่างหนึ่ง และก็ซื้อน้ำยาทำความสะอาด รวมเป็นเงินหลักแสนน่ะก็เป็นเงินที่เราได้จากการขายเสื้อด้วยเงินส่วนตัวด้วย เงินที่คนอื่นช่วยด้วย และเงินจากหลายองค์กรที่ช่วยเรามา ที่คุยอยู่นี่ก็ยังแจกอยู่ที่หน้าแฟชั่นไอซ์แลนด์ ไม่ได้มีการติดหน้าผมมีแต่เขียนว่า FLOOD FIGHT และก็ใช้สื่อมวลชนในการกระจายข่าวเพื่อให้ชาวบ้านมารับ ตอนนี้ก็มีคนมารับแล้ว 600 - 700 ชุด ยังเหลืออีกเยอะมาเลย เอาแค่รูปถ่ายบ้านน้ำท่วมเอกสารชุดเดียวกับที่รับ 5000 บาทรัฐบาลนั่นแหละ


“สาเหตุที่เลือกแจกที่แฟชั่นไอซ์แลนด์เพราะคิดว่าที่นั่นเป็นศูนย์รวมของคนกทม.ฝั่งตะวันออก จากนั้นก็จะเอาไปแจกฝั่งตะวันตกอีก ตอนนี้ผมกำลังดำเนินเรื่องขอพื้นที่บิ๊กซีบางใหญ่เพราะเคยเป็นพรีเซ็นเตอร์บิ๊กซี ก็คิดว่าน่าจะได้ตอนนี้กำลังเตรียมคนไปนั่งเฝ้าวันละ 350 สองคน ตอนนี้ก็สั่งไม้กวาดเข้ามาเพิ่มอีก 2000 กว่าชุด ชาวบ้านคงนั่งทำไม้กวาดกันมือเจ็บแล้ว(ยิ้ม) และก็สั่งน้ำยาเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เราเคยสัญญาไว้ว่า ฉันจะช่วยทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก”
       
       “หลังจากนี้ผมก็ไปร่วมกับโครงการพาวเวอร์ออฟไทย เป็นของไทยเบฟร่วมกับ 12 องค์กร ผมก็เป็นหนึ่งในพรีเซ็นเตอร์ก็รู้สึกว่า เราได้ช่วยทั้งทางตรงของเราและทางอ้อมร่วมกับทางองค์กร คือเรื่องช่วยน้ำท่วมผมช่วยทุกรูปแบบ”
       
       ถ้าผมเป็นหน่วยงานรัฐ จะช่วยชีวิตคนก่อนป้องกันสิ่งของ และจะไม่กั้นบิ๊กแบ๊ก
       “การทำงานของ FLOOD FIGHT ค่อนข้างมีระบบเราวางแผนจากประสบการณ์ปีที่แล้วที่ไปช่วยใต้ ผมไม่รู้ว่าระบบของผมจะไปเทียบกับระบบของบ้านเมืองยังไง แต่ความตั้งใจความหมายของผมคือ 1. เราจะต้องช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตก่อน เราจะต้องช่วยเหลือคนก่อนที่เราจะป้องกันของ เราต้องเอาคนออกมาก่อน”
       
       “ถ้าผมเป็นหน่วยงานรัฐในมุมของผม ผมจะเอาชีวิตเป็นที่หนึ่งก่อน และผมจะไม่กั้นบิ๊กแบ๊กไม่กั้นอะไร ผมจะช่วยชีวิตของคนก่อน คนที่อยู่หลังบิ๊กแบ๊กเขาลำบากมาก คุณควรที่จะช่วยชีวิตคนก่อนมาป้องกันไอ้สิ่งของอะไรต่างๆ (สิ่งของหมายถึงป้องกันเมือง) ผมไม่สน...ผมว่าคนสำคัญที่สุด (แต่ป้องกันเมืองก็คือการป้องกันเศรษฐกิจ) เศรษฐกิจเราสามารถป้องกันตรงอื่นได้ แต่ถ้าคนตายเศรษฐกิจมันก็ไปไม่ได้เหมือนกัน”
       
       “ถ้าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นที่อเมริกาเขาจะดูแลคนก่อน อย่างตอนที่น้ำท่วมนิวออร์ลีนส์ไม่เห็นเขาจะมาป้องกันอำเภอป้องกันอะไรเขาเลย เขาเอาคนไปรวมที่สนามกีฬาใหญ่ก่อน เขาดูแลชีวิตก่อนนี่คือหลักของมนุษยธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผม ผมวางแผน 1.คนแก่ คนป่วย คนพิการ เด็ก หรือที่เคลื่อนย้ายเองไม่ได้เราช่วยเขาไว้ก่อน ช่วยเท่าที่เราะทำได้ คอนเซ็ปต์ของผมในการช่วยเหลือก็คือ ผมรับคนออกอย่างเดียว ไม่รับคนเข้า”
       
       “ตอนที่ผมเข้าไปบางบัวทองก็มีคนแบบพี่ขอติดเข้าตรงนั้นแต่ผมไม่รับ เรือผมปล่อยโล่งเข้าไปผมจะรับออกอย่างเดียว คอนเซ็ปต์ของผมคือจะต้องช่วยชีวิตคนต้องเอาคนออกมา คุณจะเข้าไปทำไม(เข้าไปดูบ้าน) ผมอยากจะแนะนำว่าช่วง 7 วันแรกผมไม่แนะนำไม่ให้เข้าเลยให้ออกหมด”
       
       “หมู่บ้านชลดาซึ่งใหญ่มากวันนั้นผมไปช่วยกับคุณดุ๋ง(พาที สารสิน) ผมช่วยออกมา 70 กว่าคน ผมก็ขับเจ็ตสกีเข้าไปนำล่องจดเลยซอยไหนจะมีคนออกกี่คน ทุกอย่างจะต้องมีแผนและก็เอาเรือเข้าไปรับ แต่เราเองก็ต้องระวังตัวด้วยเพราะเจ็ตสกีก็คว่ำไปหลายที กระแสน้ำบางทีมันแรงรั้วของหมู่บ้านบางหมู่บ้านมันเป็นทางน้ำเข้า รั้วหมู่บ้านบางหมู่บ้านทางด้านหลังเป็นทางน้ำออก เจ็ตอาจจะโดนดูดก็ได้ทุกอย่างก็ต้องระวังหมด และผมก็ต้องทำให้เป็นทั้งเจ็ตทั้งเรือยางขับมอเตอร์ก็ต้องเป็นหมดทำทุกอย่าง”
       
       “ทุกอย่างเวลาที่ผมเข้าไปช่วยเหลือจะมีการวางแผนหมด แต่เป็นการคิดง่ายๆ ไม่มีอะไรซ้ำซ้อน คิดง่ายๆ ว่าช่วยคนก่อนของเดี๋ยวว่ากัน เศรษฐกิจพังไม่พังอันนั้นเป็นเรื่องที่เราจะต้องไปวางแผนกัน สนามบิน โรงพยาบาล นิคมอุตสาหกรรม อันนั้นมันควรต้องกันแน่ แต่ไอ้บ้านคนหรืออะไรเฉลี่ยหรือใส่เข้ามาเหอะ กทม.เนี่ยผมมองว่าระบบดูดน้ำดีที่สุดในจักรวาลแล้วล่ะ เดี๋ยวก็ดูดออกปล่อยน้ำเข้ามาเหอะ ถ้าท่วมมันก็ไม่นานหรอก แหม...คุณหญิงคุณนายไฮโซทั้งหลายจะยอมให้น้ำท่วมบ้านตัวเองนานขนาดไหนเดี๋ยวก็ดูดกัน”
       
       “ถ้าปล่อยน้ำเข้ามาระดับน้ำที่อยู่หลังบิ๊กแบ๊กอาจจะไม่สูงมาก ชาวบ้านก็จะไม่เดือดร้อน คือถ้าผมไม่ได้ไปลงพื้นที่ปริมณฑลฝั่งตะวันออกหรือฝั่งตะวันตกผมจะไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกของเขาเป็นยังไง ก็ช่างมันฉันอยู่ในเมืองสบายไม่ท่วม ไอ้เด็กตามเมืองก็ตะแร๊ดแต๊ดแต๋วิ่งไปวิ่งมามีความสุข แต่เขาไม่รู้ข้างนอกมันเดือดร้อนจริงๆ”
       
       “แต่ในเมื่อมันผ่านมาตรงนี้แล้วก็โอเค้(ลากเสียงปนถอนหายใจ) ในเมื่อปล่อยให้วิกฤติมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว มันก็ผ่านไปด้วยธรรมชาติน้ำมันก็ค่อยๆ ระเหยแห้งกันไปค่อยๆ ทยอยออกไปตามริมนอก คนที่ยังทนอยู่ก็ยังต้องทนกันไป อย่างล่าสุดนนทบุรีอำเภอท่าอิฐ น้ำท่วมตั้งแต่ต้นตุลาคมนี่ก็สองเดือนเข้าไปแล้วก็ยังท่วมอยู่เยอะไร่นาสวนก็ท่วมหมด ที่ข่าวบอกว่าไม่ท่วมแล้ว บางทีเราก็ต้องใช้วิจารณญาณในการรับสื่อ”
       
       “เรื่องการบิ๊กคลีนนิ่งก็เหมือนกันอาจจะทำให้คนที่ยังท่วมอยู่รู้สึกบ้าง แต่ยังไงก็ต้องคลีนนิ่งยังไงก็ต้องทำความสะอาด แต่ว่าส่วนจะทำให้ออกมาได้ภาพเล็กภาพใหญ่ก็แล้วแต่ แต่ถ้าคลีนนิ่งกันจริงๆ ไม่ต้องมาทำอะไรกันมากมาย เพราะมันอาจจะทำให้คนมีความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจยิ่งทำให้คนไทยทะเลาะกันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นฝายน้ำด้านโน้นฝายน้ำด้านนี้ คนฝั่งนั้นคนฝั่งนี้ก็จะทะเลาะกันเยอะ เห็นแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจความแตกแยกของเมืองเรามันก็มีอยู่แล้ว และนี่ยังจะมาแบ่งแยกคนชั้นนอกชั้นในอีก ผมก็ไม่ค่อยสบายใจ”
       
       ที่สุดของชีวิตช่วยชีวิตคุณยาย
       “ในการลงพื้นที่แต่ละครั้งเราก็จะเจอเรื่องราวต่างๆ แต่ที่ทำให้ผมอึ้งมากที่สุดคงจะเป็นตอนที่ลงพื้นที่ลำลูกกา วันนั้นตั้งเป้ากันไว้ว่าจะไปคลอง 2 แต่พอมาถึงคลอง 3 ก็มีเรือหางยาวลำหนึ่งไม่ได้ติดเครื่อง มีคุณยายคนหนึ่งอายุประมาณ 70 หรือ 80 ซะด้วยซ้ำแก่แล้วผมขาวนุ่งโจงกระเบนลอยน้ำมามีลูกสาวจับเรือไว้ และก็มีแพทย์สนามจากอาสาไหนไม่รู้กำลังตรวจ และก็เรียกรถเรียกเรือคันไหนก็ไม่มีใครจอด เพราะทุกคนก็มีเป้าหมายที่จะต้องไปทำ เนื่องจากอาสาทุกคต้องมีการช่วยเหลือจะต้องเป้าหมายชัดเจนถ้าแวะข้างทางมันจะไม่ถึงที่หมายที่วางไว้”
       
       “วันนั้นหมายของผมคือลำลูกกาซึ่งอยู่ลึกมาก แต่พอเจอคุณยายลอยน้ำอยู่ผมนั่งอยู่บนหลังคารถผ่านไปได้ประมาณเมตรหรือสองเมตรหันกลับไปมองแล้วแบบต้องตบรถให้จอด วันนี้ต้องขอแหกหมายซะหน่อย ขอหยุดหมายที่กำลังจะไปขอรับยายขึ้นมาก่อน ก็อุ้มคุณยายสภาพคือ คุณยายแน่นหน้าอกจะตายแล้วหายใจไม่ออกช็อกแล้ว ก็เอาขึ้นมาบนรถบนรถเรามีเรือจอดอยู่ลำหนึ่งเพื่อจะไปใช้ในภารกิจแต่ว่าต้องสละเรือลำนั้นให้ชาวบ้านพี่เอาไปเลย เพราะเราต้องการแค่พื้นที่เรือ”
       
       “ก็พาคุณยายไปส่งที่โรงพยาบาลแต่กว่าจะไปถึงก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง เพราะการเดินทางขณะน้ำท่วมไม่ว่าจะเป็นเรือหรือรถมันนานเหลือเกิน และก็มีอีกเคสหนึ่งที่เข้าไปช่วยคนตอน 3 ทุ่มต้องขับเจ็ตสกีเข้าไปช่วยคนที่อยู่ลึกเข้าไป 2 - 3 กิโล คิดดูสิ 2 - 3 กิโลน้ำมันไกลนะ เจ็ตสกีก็วิ่งเร็วมากไม่ได้เพราะน้ำมันจะไปกระแทกบ้านชาวบ้านผมจะคำนวณตลอด แต่วันนั้นแอบวิ่งเร็วนิดนึง พออีกวันไปลงพื้นที่ที่นั่นอีกชาวบ้านก็ตะโกนถามเลย เมื่อคืนที่วิ่งเร็วๆ นี่ใช่พี่เจหรือเปล่า(หัวเราะ) ผมก็เออ...ผมเองแหละ โทษทีนะพอดีมีคนเป็นโรคไตไม่ได้ฟอกไตมาแล้ว 4 วัน โทรศัพท์แบตก็เหลือน้อยแล้วติดต่อประสานงานมาหลายหน่วยอาสาจนกระทั่งมาถึงผม และผมก็ต้องเข้าวันนั้นสามทุ่ม"


“เข้าไปมืดๆ มันน่ากลัวมากบรรยากาศเหมือนลัดดาแลนด์แต่เราก็ต้องเข้าไป ก็ไปรับเขาออกมาเพื่อส่งต่อให้ทีมอาสาอีกทีมหนึ่งเพื่อส่งโรงพยาบาล อันนั้นค่อนข้างอึ้งเพราะเขาใกล้ตายแล้ว ค่อนข้างห่อเหี่ยวเขาอยู่คนเดียว”
       
       ไม่หวั่นอันตราย ภรรยาบอกถ้าตายในหน้าที่ก็เท่ห์ดีออก
       “จระเข้นี่เป็นสิ่งที่คนลงน้ำจะกลัว มีอยู่วันหนึ่งผมพาลูกกับภรรยาไปลงพื้นที่ด้วย เป็นเคสที่นั่งเรือไปให้ของชาวบ้านแถวคู้บอนรามอินทรา ก็ผ่านอยู่จุดหนึ่งมันมีจอกแหนเยอะ ผมยังพูดกับลูกกับภรรยาว่า ไอ้อย่างนี้จระเข้ชอบอยู่ พอหลังจากนั้นเปิดข่าวดูทีวีช่อง 3 ลงไปทำข่าวชาวบ้านเจอจระเข้ยิงไปนัดนึงมันหนีไปได้ตรงที่ผมพูดเลย วันนั้นผมจำได้ว่าวันที่เราผ่านมันยังมีไก่ขันอยู่เต็มเล้าเลยนะ แต่อีกวันไปไม่เหลือไก่แล้ว”
       
       “การที่เราออกมาแบบนี้ได้ก็เป็นเพราะครอบครัวด้วย ครอบครัวสนับสนุนครับ ปิ่น(เก็จมณี วรรธนะสิน)เขาสนับสนุน เราก็คุยเล่นกันตามประสาสามีภรรยา ปิ่นเกิดฉันตายโดนไฟดูด โดนไอ้เข้กัด โดนโจรปล้นทำไงวะ เขาก็พูดติดตลกดีดิ เธอตายในหน้าที่เท่ห์จะตาย เราก็เออ...ขอบใจ”(หัวเราะ)
       
       “คือปิ่นเขาสนับสนุนในการช่วยคนอื่นเพราะปิ่นเขาจะรู้ว่าผมเป็นคนที่เต็มที่ แต่ผมเป็นคนที่เซฟตี้เฟิร์สมาก ก่อนจะลงน้ำแต่ละบ้านกว่าจะลงได้นี่ทั้งหลังมือแตะเหล็ก ทั้งเครื่องวัดไฟดูดครบชุด เอาเท้าเขี่ยๆ ดูก่อน ตะโกนเลยตัดไฟหรือยังครับไม่ตัดไม่เข้าครับ ทุกอย่างเราก็ต้องชัดเจนเพราะถ้าเราช่วยตัวเองไม่ได้เราก็ช่วยคนอื่นไม่ได้เหมือนกัน”
       
       ปักธงแดงได้ของเยอะกว่า
       “แต่บางอย่างก็อันตรายไม่ใช่สัตว์ร้ายหรือไฟดูด ไม่ว่าจะเป็นโจรหรือพวกที่บ้าลัทธิทางการเมืองมีเยอะแยะ ปักธงแดงหน้าบ้านจะได้รับของมากกว่าปกติ(น้ำท่วมนี่ยังแบ่งสีอีกเหรอ) มันก็มีครบแหละครับ (นี่เขาฟ้องเจหรือว่าไง) ไม่หรอก....(หัวเราะ)มันมีหลากหลายเพราะเราไปทุกหน่วยงาน กับทหารเราก็ไป บางคนก็โกรธทหารบ้างอะไร เราก็...พี่เวลานี้มันมาโกรธกันไม่ได้แล้ว เขาก็ระบายให้เราฟังบ้าง ปาของใส่บ้าง(ปาใส่เจเนี่ยนะ) ปาใส่ถ้าเรือหรือรถทหารวิ่งเร็ว อันนี้ก็เข้าใจนะอารมณ์ของคนที่เดือดร้อนคนที่ไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ แต่เราไม่ถือสาเพราะเราไปช่วยไม่ได้ไปมีเรื่อง”
       
       น้ำท่วมครั้งนี้เราได้เห็นภาพดาราหลายๆ คนลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผ่านสื่อมวลชน ถือว่าเป็นการโปรโมทการทำเรื่องดีๆ เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนควรสนับสนุน แต่เป็นที่สังเกตว่าการลงพื้นที่ของ “เจ เจตริน” จะไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าวผ่านหน้าจอซักเท่าไหร่ แต่ถ้าใครตามทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กของเจจะรู้ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ดี เรื่องนี้เจบอกว่า เป็นความตั้งใจที่ไม่อยากให้สื่อมวลชนตามไปทำข่าว
       “จริงๆ แล้วมีสื่อหลายสื่อที่ขอตามลงพื้นที่ แต่ผมบอกว่าถ้าสื่อไปก็ต้องมีช่างกล้อง 1 คน ผู้ช่วย 1 คน ผู้สื่อข่าว 1 คน ซึ่ง 3 ที่บนเรือผม 4.2 เมตรเนี่ยทำให้ของผมใส่ของบริจาคตไม่ได้ประมาณ 30 ถุง และถ้าเป็นภารกิจที่จะต้องเอาเจ็ตสกีไปช่วยดึงเรือเพื่อเข้าไปช่วยเหลือ 3 ที่นี่มีความหมายมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องขอโทษพี่ๆ สื่อมวลชนด้วยที่ไม่สามารถให้ไปด้วย ซึ่งทุกคนก็เข้าใจหมดไม่มีใครว่าอะไรผมเลย ทุกคนรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่”
       
       “ถึงจะไม่มีภาพผมออกตามช่องต่างๆ ว่าผมไปที่ไหนก็ไม่เป็นไร ผมเองก็เก็บภาพโดยใช้ไอโฟนถ่ายทุกภารกิจที่ผมไปช่วยแล้วก็มาโพสต์ในทวิตเตอร์กับเฟซบุ๊ก เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้ว่า คุณเสื้อผม FLOOD FIGHT ตัวละ 500 หรือของที่คุณเอามาวางไว้หน้าบ้านผมเพื่อบริจาค ผมเอาไปทำอะไรบ้าง ผมไปช่วยอะไรบ้าง นั่นคือสื่อของผมเว็ปไซต์ WW.JJTRIN.COM , ทวิตเตอร์ @JJETRIN , เฟซบุ๊ก JETRIN คนตามประมาณ 1.8 แสน เฟซบุ๊กอีกหลายหมื่น เว็ปไซต์อีกหลายแสน ฉะนั้นคนที่ติดตามผมและอยากจะช่วยภารกิจนี้เขาก็จะเข้ามา”
       
       “ส่วนสื่อออกทีวีก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ถือว่าใครสร้างภาพ อย่างช่อง 3 ช่อง 7 ก็ต้องมีภาพมีอะไรไปเพราะมันเป็นเรื่องที่จะต้องให้คนเห็นถึงความลำบากแล้วควักเงินมาบริจาค พอคนเห็นภาพใครที่สามารถช่วยได้เขาก็จะช่วยกัน ไม่มีใครสร้างภาพหรอกงานนี้ ผมเองก็ไม่ได้แคร์ว่าจะต้องมีสื่อตามไป กลับทำงานได้สบายใจกว่าและก็ไม่มีใครว่า”
       
       “การที่ทำตรงนี้สิ่งที่ผมได้ก็คือได้ความภูมิใจในเอง และก็ได้ความภูมใจของครอบครัว ความภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่ และที่สำคัญคือการได้ช่วยเหลือคนให้ยังมีชีวิตอยู่มันคือความภูมิใจที่สุดแล้ว นอกจากนั้นเราก็ยังได้สอนลูกด้วย ได้เป็นตัวอย่างให้ลูกดู”
       
       “อย่างวันที่พาลูกไปเพื่อที่จะให้เขามาลำบากให้เขาเห็นว่าคนเขาลำบากกันนะ ให้เห็นน้ำสูงน้ำเน่า ให้เห็นคนหิวข้าว เพราะก่อนหน้านี้เขารู้ว่าแค่ว่าผมหิ้วเป้ออกไปทุกวัน พ่อไปช่วยคนๆ จนวันหนึ่งที่พาเขาไปคู้บอนเพราะเห็นว่ามันใกล้บ้าน เขาก็บ่นอยากไปครับอยากไปเมื่อไหร่น้ำจะท่วมหน้าบ้านเราซักที พอเขาไปกลับมาก็กินข้าวเยอะขึ้นไม่กินเหลือ เพราะเวลาที่เขากินไม่หมดเราก็จะพูดว่า จำที่ซอยคู้บอนได้ไหม เขาไม่มีข้าวกิน ไม่มีแอร์เปิด ไม่มีพัดลมนะ เราต้องกินข้าวให้หมด เปิดปิดไฟต้องประหยัดไฟเด็กก็จะเรียนรู้ทันทีว่า นั่นคือสิ่งที่ถ้ามันเกิดวินาศภัย อุทกภัย หรืออะไรเกิดขึ้นก็ตามมันจะเกิดความไม่สบายเขาต้องคำนึงถึงทรัพยากรที่ใช้ น้ำที่ดื่ม อาหารที่กิน มันต้องใช้ให้คุ้มใช้ให้เป็นรู้จักการเผื่อแผ่รู้จักการให้”
       
       “เขาเห็นน้ำมาบริจาคที่บ้านผม 400 - 500 แพ็คเป็นโกดังใหญ่แต่วันนั้นน้ำจะท่วมบ้านผม ผมพาลูกไปบิ๊กซีหน้าหมู่บ้านไปซื้อน้ำกลับมาบ้าน 3 - 4 แพ็ค ลูกคนเล็กถามทำไมไม่เอาน้ำที่อยู่บ้านกิน ผมบอกกินไม่ได้ลูก อันนี้น้ำเขาเอามาบริจาค เดินผ่านน้ำกองใหญ่โตน้ำในบ้านถึงไม่มีกินแต่เราก็ไม่แตะ ขวดเดียวก็ไม่แตะ เขาถึงได้เข้าใจว่า อันนี้คือการให้ อันไหนของเราก็คือของเรา เราทำให้เขาเห็นความซื่อสัตย์ความเสียสละ”
       
       กับสิ่งที่หลายๆ คนยกย่องให้ “เจ” เป็นซูเปอร์สตาร์ซูเปอร์ฮีโร่ แต่เจ้าตัวกลับบอกว่าไม่ใช่
       “งานนี้ผมไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ อาสากู้ภัยทุกคนก็ไม่ได้เรียกตัวเองว่าฮีโร่ คนที่เป็นฮีโร่คือคนที่อยู่หลังบิ๊กแบ๊ก คนที่อยู่ต่างจังหวัดชัยนาท , อยุธยา , ลพบุรี , สิงห์บุรี , ปทุมธานี พวกนั้นคือฮีโร่ เขายอมท่วมแทนคนในกทม. ทหารก็คือฮีโร่ ผมไม่ใช่ฮีโร่....ผมเป็นซูเปอร์แมน”(ยิ้ม)

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)