ก่อนที่ In the Land of Blood and Honey ผลงานการกำกับเรื่องแรกของดาราสาว "แอนเจลินา โจลี" กำลังจะเข้าโรงฉาย หนังต้องกลับต้องมาวุ่นวายอยู่กับประเด็นทางกฎหมายนิดหน่อย เมื่อมีนักข่าวรายหนึ่งได้ยื่นเอกสารต่อศาล เพื่อฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายพร้อมอ้างว่า "โจลี" ขโมยผลงานของเขาไปดัดแปลงเป็นหนังของตัวเองโดยไมได้รับอนุญาต และไม่ได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม
เจมส์ เจ. แบรดด็อก หรือ โจซิป เนเซวิช นักเขียนและผู้สื่อข่าวชาวโครเอเชีย ได้ยื่นเอกสารฟ้องร้องดาราสาว แอนเจลีนา โจลี ว่าลอกเลียนบทความในหนังสือที่เขาเขียนขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน และนำไปดัดแปลงเป็นบทหนังเรื่อง In the Land of Blood and Honey ผลงานการกำกับครั้งแรกของเธอ โดยหนังที่ว่าด้วยความรักระหว่างทหารหนุ่มชาวเซอร์เบีย และหญิงสาวมุสลิม ในช่วงสงครามบอสเนียเรื่องนี้มีส่วนซึ่ง แบรดด็อก อ้างว่าใกล้เคียงกับงานเขียนของเขาเกินกว่าจะเป็นความบังเอิญ
โดยในเอกสารคำฟ้องมีใจความตอนหนึ่ง ชี้ว่าส่วนคล้ายของงานทั้งสองชิ้นอยู่ในจุดที่ว่าด้วย "ตัวละครเอกฝ่ายหญิงเป็นเหยื่อในการถูกทารุณและข่มขืนโดยเหล่าทหาร และเจ้าหน้าที่ในแคมป์ทหาร ซึ่งนอกจากโดนข่มขืนแล้วเธอยังต้องทำงานรับใช้แคมป์ศูนย์บัญชาการด้วย"
อย่างไรก็ตามตัวของดาราสาวคนดังได้ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ ระหว่างพูดคุยกับ LA Times อธิบายว่าเธอเขียนบทหนังขึ้นจากการอ่านหนังสือและเอกสารมากมาย รวมถึงงานเขียนของนักข่าวคนดังอย่าง ปีเตอร์ แมส และ ทอม กีลเทน แต่ไม่ได้มาจากงานเขียนของ เจมส์ เจ. แบรดด็อก อย่างแน่นอน "หนังมีส่วนผสมมาจากเรื่องราวของหลาย ๆ คน แต่ฉันไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนั้นค่ะ" เธอกล่าว
ฝ่ายนักข่าวชาวโครเอเชียยังอ้างอีก ว่าเขาเคยพบกับ เอดิน ซาร์คิซ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่อง In the Land of Blood and Honey อยู่หลายครั้งระหว่างปี 2007 - 2008 เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแผนการนำหนังสือของเขาไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ และยังติดต่อกับโปรดิวเซอร์คนดังกล่าวผ่านอีเมล์หลังจากนั้นอีกหลายครั้ง จึงค่อนข้างแปลกใจเมื่อพบว่าต่อมาโปรดิวเซอร์รายนี้สร้างหนังที่มีเนื้อหาคล้ายกับงานของเขา แต่ตนเองกลับไม่ได้เป็นที่ปรึกษาของหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด
โดย เจมส์ เจ. แบรดด็อก ได้ยื่นฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหายและค่าชดเชย โดยมีชื่อของบริษัท GK Films และ แอนเจลีนา โจลี เป็นจำเลยร่วมกัน
การฟ้องร้องหนังในข้อหาขโมยไอเดีย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ในฮอลลีวูด อย่างไรก็ตามหากในท้ายที่สุดผู้ฟ้องร้องต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี นอกจากจะไม่ได้เงินก้อนโตอย่างที่เรียกร้องแล้ว ก็มีสิทธิ์จะเป็นฝ่ายเสียเงินเสียเอง
อย่างในกรณีของหนังเรื่อง The Hurt Locker ที่มีจ่าทหารรายหนึ่งฟ้องร้อง ผู้กำกับและคนเขียนบทหนังว่าขโมยเรื่องราวของเขาไป แต่สุดท้ายทหารรายนี้กลับเป็นฝ่ายแพ้คดี และล่าสุดศาลได้ออกคำสั่งให้เขาจ่ายชดใช้ค่าเสียหายให้กับคู่กรณีด้วย
ประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ จ่าเจฟฟรีย์ เอส. ซาร์เวอร์ ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินนับล้านเหรียญฯ กล่าวหาว่าผู้กำกับ แคธรีน บิเกโลว์ และคนเขียนบท มาร์ค โบเอล หยิบฉวยทั้งชื่อหนัง hurt locker รวมถึงประโยคที่ว่า "สงครามเหมือนยาเสพติด" ไปใช้หลังจากการสนทนากับเขา นอกจากนั้นยังสร้างตัวละครเอก "วิลเลียม เจมส์" โดยอ้างอิงเรื่องราวจากเขาด้วย แต่สุดท้ายกลับไม่แบ่งเงินตามการมีส่วนร่วมเหล่านี้ เมื่อ The Hurt Locker หนังที่ว่าด้วยทหารหน่วยเก็บกู้ระเบิดทำเงินไปถึง 49 ล้านเหรียญฯ รวมถึงคว้ารางวัลออสการ์ในเวลาต่อมา
ฝ่าย โบเอล อธิบายว่าเขาเขียนบท The Hurt Locker ขึ้นมาจากการพูดคุยกับทหารมากกว่า 100 คน ไม่ได้ใช้วัตถุดิบจาก จ่าซาร์เวอร์ เพียงผู้เดียว จนสุดท้ายคดีถูกชี้ขาดในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา เมื่อผู้พิพากษาได้ตัดสินให้ฝั่งผู้สร้างหนังเรื่อง The Hurt Locker เป็นฝ่ายชนะคดี และล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนศาลยังมีคำตัดสินเพิ่มเติม ให้จ่าซาร์เวอร์ จ่ายเงินค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนาย ให้กับฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดด้วย
ซึ่งรายละเอียดจากศาลระบุว่า จ่าเจฟฟรีย์ เอส. ซาร์เวอร์ ต้องจ่ายเงินให้กับ โบเอล และบิเกโลว์ เป็นเงิน 37,975.50 เหรียญฯ (ประมาณ 1.2 ล้านบาท), จ่ายเงิน 89,753.85 เหรียญฯ (2.8 ล้านบาท) ให้กับผู้อำนวยการสร้าง ส่วนบริษัทผู้จัดจำหน่ายอย่าง Summit Entertainment จะได้รับเงินจำนวนทั้งสิ้น 59,395.30 เหรียญฯ (1.8 ล้านบาท) รวมเป็นเงินร่วม 187,000 เหรียญฯ หรือ 5.8 ล้านบาทเลยทีเดียว
ที่มา: manager.co.th