Author Topic: “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” โต้ทำเองไม่รอดเลยกลับมาซบ “เจ๊ฉอด” ลั่นบริษัทของตนไม่ได้ขาดทุนแค่ยังไ  (Read 1165 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“เจนนิเฟอร์ คิ้ม” โต้ออกมาทำเองแล้วไม่รอดเลยกลับมาซบ “เจ๊ฉอด” ลั่นบริษัทของตนไม่ได้ขาดทุนแค่ยังไม่มีกำไร บอกยังทำอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้ปิดบริษัท แจงได้ “นิ่ม สีฟ้า” เป็นกาวใจประสานเจ๊ฉอดให้ ยันยังเคารพรักและยกให้เป็นลูกพี่เหมือนเดิม
       
       ได้ชื่อเป็นเจ้าแม่เวทีคอนเสิร์ตแจ้งเกิดเพราะ “เอไทม์ โชว์บิท” ของบิ๊กเอไทม์ “เจ๊ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” แต่สุดท้ายนักร้องสาว “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ก็สลัดรังทิ้งออกมารับงานเองในนามบริษัท “ล้ำเส้น” จนเป็นที่กังขากันว่าทั้งคู่เกิดเกาเหลาไม่กินเส้นผิดใจกันรึเปล่า แต่แม้จะบอกว่าไม่มีอะไรผิดใจกัน แต่การร่วมงานผูกขาดกับเอไทม์แบบเมื่อก่อนก็ไม่มีให้เห็นอีกนับตั้งแต่นั้นมา ล่าสุดสาวคิ้มกลับมาร่วมงานกับเอไทม์อีกครั้งในคอนเสิร์ต “ ดี้ - สีฟ้า “The Lyrics of Love” ซึ่งสาวคิ้มเผยว่า ที่กลับมาร่วมงานในครั้งนี้ได้เป็นเพราะได้นักแต่งเพลงชื่อดัง “นิ่ม สีฟ้า” เป็นกาวใจชักชวนมาร่วมงาน
       
       “รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนลี้มกโช้ว ในเรื่องมังกรหยก ที่สังกัดอยู่ที่สำนักง๊อไบ๊ เวลานางออกไปผจญภัยทำเรื่องเลวร้ายอะไรก็แล้วแต่ นางก็กลับมาสำนักง๊อไบ๊อีกครั้ง นางเป็นศิษย์ที่เป็นตัวของตัวเองมาก ความเลวของนางเยอะแยะ แต่นางเป็นคนที่มีความสามารถไง ดังนั้นก็กลับมาอีก ก็ขอบคุณจริงๆ ที่พี่ฉอดให้โอกาส ขอบคุณทุกคนที่ชักชวนเรามาตั้งแต่เริ่มแรก”
       
       “ตั้งแต่ในช่วงที่ไม่ได้มาทำงานกับเอไทม์ ก็คือพี่นิ่ม สีฟ้าคือเราค่อนข้างสนิทกัน คุยกันตลอด แล้วแกจะพูดอยู่เสมอว่าถ้ามีโอกาสก็มาร้องกับพี่นะ คือการที่ได้ทำงานจริงๆ กับทางนี้ก็เพราะพี่นิ่ม พี่นิ่มเป็นคนที่แต่งเพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียวให้ และชวนเราไปร้องเพลงคนเจ้าน้ำตาในคอนเสิร์ตสีฟ้า 1 ทำให้เราได้มีโอกาสขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ตั้งแต่สโนว์ คิ้ม, คิ้ม ไรเดอร์ จนมีคอนเสิร์ตของตัวเอง ดังนั้นการกลับมาก็มีทั้งความรู้สึกยินดีและความรู้สึกที่ว่าเราอาจจะสร้างปัญหาให้ผู้ใหญ่อีกก็ได้”
       
       “ในเรื่องของความเป็นตัวของตัวเองกับความดื้อรั้นมันอยู่ด้วยกันหมด ใครก็แล้วแต่ที่เป็นตัวของตัวเองมากๆ เราไม่ได้เป็นนักร้องที่เป็นซุป’ตาร์ ถูกประคบประหงม เราต้องยืนอยู่บนขาตัวเองให้ได้ ล้มก็ต้องลุก จึงเป็นคนที่ค่อนข้างจะรับแรงต้านต่างๆ ได้สูง ดังนั้นเราจึงมีความเป็นตัวเอง ดื้อสูง รักการผจญภัย เจ็บตัวไม่กลัว กลัวเสียชื่อเสียง มีความรู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่เรากล้าออกไปเผชิญกับโลกนี้ สิ่งที่ได้กลับมาคือความแกร่ง แล้วรู้ว่าอันนี้ทำได้ อันนี้ทำไม่ได้ ก็ขอบคุณพี่นิ่ม พี่ฉอดที่ให้โอกาสอีกครั้ง”
       
       “ก็อย่างที่พูดว่าไม่ว่าใครที่เคยสร้างเรามา ให้เรามีวันๆ นี้ได้ ถือว่าคนเหล่านั้นก็มีบุญคุณจนกว่าเราจะตายไป แต่โอกาสที่ได้รับใช้ทดแทนบุญคุณก็ขึ้นกับช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่เพราะพี่นิ่มทุกคำนะคะ ด้วยที่พี่ฉอดเป็นผู้ใหญ่ คิ้มไม่เคยเห็นพี่ฉอดโกรธใครเลย เขาเป็นคนที่เอางานมาเป็นหลัก ไม่ได้เอาเรื่องนู้นนี้มาจุ๊กจิ๊ก เพราะแกเป็นคนทำคอนเสิร์ตมือหนึ่งของเมืองไทย ดังนั้นแกต้องโฟกัสไปในเรื่องที่แกมีความรับผิดชอบสูง แกไม่ได้มาจุ๊กจิ๊กกับลูกน้อง พี่ฉอดเป็นซีอีโอที่เป็นผู้ใหญ่มากๆ แกก็ไม่ค่อยอะไรนะ ตอนมาถึง ความที่เราไม่ได้เจอแกตั้งนาน แทนที่เราควรจะรู้สึกผิด เราก็นั่งนิ่งๆ แล้วพี่ฉอดก็บอกว่ารูปแกข้างต้นไม้มันสวยดีนะ คือแกเป็นเหมือนเดิมค่ะ ซึ่งแกก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำอะไรทั้งสิ้น เพราะแกเป็นดีเจไม่ใช่นักแสดง แกเป็นลูกพี่ค่ะ”
       
       ลั่นแม้จะกลับมาร่วมงานกับ “เอไทม์” แต่ก็ยังคงเดินหน้าทำบริษัท “ล้ำเส้น” ของตัวเองต่อไป ยันไม่ได้กลับมาเพราะบริษัทตัวเองขาลงเพราะขาดทุน เพียงแต่ยังไม่ได้กำไรเท่านั้นเอง
       
       “บริษัทเราเองก็ยังทำอยู่ค่ะ เพราะมีผลในเรื่องของฐานภาษี (หลายคนมองว่าล้ำเส้นถึงทางตันแล้วเลยกลับมา?) มันไม่เคยเกิดเลย จะบอกว่ามันตันได้ไง ทำคอนเสิร์ตอันนั้นก็ไม่ได้ขาดทุนนะ แต่มันไม่มีกำไร อย่างที่บอกมันอยู่ที่สปอนเซอร์ ที่คนบอกว่าเราถึงทางตัน ขาลง ไม่มีที่ไป เราเป็นคนที่เคารพทุกคน ขอคำเดียวว่าคนที่คิดจะว่าในแง่ไม่ดีในตัวเรา อนุญาตให้เราได้พิสูจน์ตัวเองหรือยัง”
       
       “มองอีกแง่นึงว่าเอไทม์เป็นบริษัทใหญ่ แต่เวลาที่เราทำอะไรเล็กๆ ก็ต้องมีบริษัทรองรับ คนทุกคนจะต้องมีกิจการเล็กๆ ของตัวเองที่จะทำให้วันนึงที่เราไม่ได้อยู่ ณ จุดนี้ ก็สามารถอยู่ได้อย่างพอเพียง เพราะว่าชื่อเสียงมันไม่เคยอยู่กับเรายืนนาน และที่เราอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะคนดู เมื่อไหร่ที่คนดูอนุญาตให้เราเกิด เราก็ได้เกิด อนุญาตให้เราตาย เราจะตายเดี๋ยวนั้น ตายในที่นี้หมายถึงชื่อเสียง ไม่เอามันแล้ว ถ้าคนดูไม่อนุญาตให้แสดงเขาก็ไม่ซื้อตั๋ว คือในชีวิตของนักร้องอย่างเรา ชะตาชีวิตอยู่ในกำมือของคนดูทุกคน และวันนี้เราคิดว่าที่เรามีคอนเสิร์ตครั้งนี้ คนดูก็คงอนุญาตเราอีกครั้งนึง”


ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)