สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เครือข่ายเอทีแอนด์ทีของสหรัฐฯ ระบุว่า บริษัทได้ทำการตรวจสอบข้อมูลสำหรับความพยายามในการบุกรุกระบบ พร้อมกับเชื่อว่า ไม่มีชื่อบัญชีรายใดได้รับอันตรายจากการถูกเจาะข้อมูล แต่ล่าสุด รายงานจากเอบีซีนิวส์ได้ระบุว่า เอทีแอนด์ทีได้ร่วมมือกับหน่วยงานเอฟบีไอ และบังคับใช้กฏหมายในประเทศฟิลิปปินส์เพื่อเข้าจับกุมตัวกลุ่มแฮ็คเกอร์ ถึงแม้ว่าการเชื่อมโยงระหว่างสองเหตุการณ์จะไม่ได้รับการยืนยันก็ตามที
โดยหน่วยงาน Philippine Criminal Investigation และ Detection Group (CIDG) กล่าวว่า "ผลลัพธ์ของการโจมตีทำให้บริษัทต้องพบกับความเสียหายเกือบ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ" ซึ่งประโยคดังกล่าวหมายถึงการที่เอทีแอนด์ทีตกเป็นเป้าในการโจมตี แต่อย่างไรก็ดี ตัวแทนจากเอทีแอนด์ที Jan Rasmussen ก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธถึงการละเมิดสิทธิความปลอดภัยใดๆ ตามที่ถูกกล่าวอ้างว่า "เอทีแอนด์ทีและเครือข่ายไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีจากแฮ็คเกอร์ บริษัทของเราเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยในการสอบสวนอันซึ่งนำไปสู่การจับกุมแฮ็คเกอร์เท่านั้นเอง" ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคำอธิบายดังกล่าวจะขัดแย้งกับการเปิดเผยของ CIDG และเอทีแอนด์ที ก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า บริษัทได้มีการเขียนสรุปค่าใช้จ่ายที่หลอกลวงซึ่งปรากฏในบิลเรียกเก็บค่าบริการของลูกค้า ซึ่งนั่นเป็นหลักฐานยืนยันให้เอทีแอนด์ทีปฏิเสธไม่ได้ว่าเครือข่ายถูกแฮ็คจริง ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา หน่วยงานเอฟบีไอยังได้ทำการติดตามกลุ่มซาอุดิอาระเบียซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มแฮ็คเกอร์ที่โจมตีเอทีแอนด์ที โดยเอฟบีไอยังได้ขอกำลังสนับสนุนของ CIDG เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อันเนื่องมากจากต้องสงสัยว่า กลุ่มดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับองค์กรก่อการร้ายอื่นๆ ถึงแม้ว่ารายละเอียดจะยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการก็ตาม สำหรับสี่บุคคลที่ถูกจับกุมในฟิลปิโนนั้น ได้รับการสนับสนุนโดยหัวหน้า Muhammad Zamir ที่ซึ่งเป็นบุคคลที่สร้างสีสันในประวัติศาสตร์ทางการเงินกับกลุ่ม al Qaeda และสนับสนุนการวางระเบิดที่เมืองมุมไบ ที่ประเทศอินเดียเมื่อปี 2008 ด้วย
Source : TechSpot
ที่มา: pantip.com
