Author Topic: “อนุดิษฐ์” เพิ่งนึกออก รู้จักมือโพสต์ แต่ยืนยันไม่เกี่ยวไอซีที  (Read 823 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


อนุดิษฐ์ กลับลำอ้างรู้จักมือโพสต์จริง แต่แค่มาช่วยตอนหาเสียงเท่านั้น ไม่ได้มายุ่งในการบริหารงานกระทรวงไอซีที พร้อมเตรียมฟ้องกลับ น.ส.มัลลิกา ข้อหาหมิ่นประมาท วอนฝากหัวหน้าพรรค ปชป.ตักเตือนลูกน้องในพรรคด้วยอย่าเผยแพร่ข้อความหมิ่นซ้ำ ขณะที่การหารือบอร์ดใหม่ ทีโอที - กสท นัดแรก พร้อมสั่ง 2 บอร์ดกลับไปทำเวิร์คชอปการปฏิบัติงานแผนลดการทำธุรกิจซ้ำซ้อนให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ เปรยทีโอทีควรเน้นธุรกิจเน็ตเวิร์กโพรวายเดอร์ ส่วนกสทเน้นจับธุรกิจคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์
       
       น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยว่า กรณีที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเงา (ไอซีที) และ น.ส.มัลลิกา บุญตระกูล รองโฆษกพรรค ปชป. ที่ออกมากล่าวหารวมกันว่า รมว.ไอซีทีมีเจตนาปกป้องคนผู้กระทบความผิดที่มีเจตนาทำร้ายสถาบันนั้น ทั้งๆที่รู้ชื่อว่าเป็นใคร โดยรมว.ไอซีทีออกมาชี้แจงว่า นายณัฐวุฒิ ด้วงนิล ซึ่งเป็นมือโพสต์หมิ่นสถาบันนั้น ตนเคยรู้จักจริงในสมัยหาเสียงแรกๆ แต่พอได้เข้ามารับตำแหน่งเป็น รมว.ไอซีทีก็ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรภายกระทรวงไอซีทีอีกเลย
       
       “ผมรู้จักเขาจริงในตอนที่หาเสียงแรกๆ โดยเขาได้เข้ามาช่วย แต่ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารกระทรวงไอซีทีแต่อย่างใด โดยตอนนี้ผมเตรียมจะดำเนินคดีกับ น.ส.มัลลิกา ที่ออกมากล่าวหาตน จนทำให้กระทรวงเสียชื่อเสียง ซึ่งทีมกฏหมายกำลังตรวจสอบอยู่ซึ่งในเบื้องต้นรมว.ไอซีทีขอเวลาตัดสินใจ”
       
       รมว.ไอซีที ยังฝากถึงหัวหน้าพรรคปชป.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยว่าให้ตักเตือนลูกน้องในพรรคที่ชอบนำข้อความหมิ่นสถาบันที่มีลักษณะจาบจ้วงล่วงเกินออกมาเผยแพร่ซ้ำต่อสื่อมวลชน โดยเฉพาะเอาไปโพสต์ขึ้นเว็บไซต์ แต่ล่าสุดไม่สามารถเข้าไปดูได้แล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวมีความผิดตาม พ.ร.บ. กระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ในการเผยแพร่ซ้ำด้วย
       
       อย่างไรก็ดี รมว.ไอซีที ยืนยันว่าได้ดำเนินการเพื่อระงับการเผยแพร่ เนื้อหาไม่เหมาะสมอันกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาโดยตลอด โดยยึดหลักแนวทางการปฏิบัติตามกฎหมาย และความเหมาะสมต่อการที่ประชาชนคนไทยพึ่งปกป้องสถาบันหลักของชาติ ประกอบกับแนวทางปฏิบัติที่รัฐบาลก่อนได้ดำเนินการหรือวางแนวทางไว้ และพัฒนาปรับปรุงข้อดี ข้อด้อย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
       
       น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวถึงกรณี การปราบปรามเว็บไซต์ที่กระทำการอันไม่เหมาะสมเกี่ยวกับสถาบันว่า ปัจจุบันกระทรวงมองว่าเป็นเรื่องที่กระทำได้ยาก แต่ในการกระทำที่ผ่านมา ที่ได้มีการประสานงานกับต่างประเทศ ก็ได้ผลดี และมีประสิทธิภาพ และมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้สาเหตุที่การดำเนินการปิดกั้น ไม่ได้นำมาประกาศหรือออกสื่อสาธารณะนั้นเนื่องจากเป็นการจูงใจประชาชนบางกลุ่มให้เกิดความสนใจ จนเป็นเหตุอันทำให้ประชาชนอยากค้นหาในข้อมูลดังกล่าว และเป็นประเด็นให้สื่อต่างประเทศขยายความเพิ่มขึ้นก็เป็นได้
       
       "จากสถิติที่กระทรวงร้องขอไปยังผู้ให้บริการเฟซบุ๊ก ให้ดำเนินการปิดกั้นไม่ให้สามารถเข้าถึงชื่อบัญชีที่ไม่เหมาะสมได้จำนวน 26,000 URL ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน อีกจำนวน 60,000 URL ซึ่งเป็นการปิดตั้งแต่ต้นทาง และสามารถปิด URL ที่เกี่ยวข้องอื่นๆได้ โดยไม่ต้องไปไล่ปิดทีละ URL"
       
       นอกจากนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมหลังจากที่ประชุมหารือนัดแรกร่วมกับ นายพันเทพ จำรัสโรมรัน ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที จำกัด และนายดุษฎี สินเจิมสิริ บริษัท กสท โทรคมนาคม เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (24 พ.ย.) ได้ให้แนวทางการดำเนินงานแผนการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับภาพการดำเนินงานโดยรวมของภาครัฐ และไม่ควรให้เกิดการทำธุรกิจซ้ำซ้อนกันอีก โดยแผนการดำเนินงานเร่งด่วนให้ทั้ง 2 องค์กรจัดทำแผนธุรกิจส่วกลับมาภายใน 2 เดือน
       
       ทั้งนี้หน่วยงานทั้ง 2 องค์กร ทีโอที และ กสท ต้องไปจัดทำเวิร์คชอปแผนธุรกิจร่วมกัน ให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 สัปดาห์โดยเบื้องต้นกระทรวงอาจให้ทีโอทีเน้นไปทำธุรกิจเกี่ยวกับคอร์เน็ตเวิร์กทั้งหมด และเป็นผู้ให้บริการโครงข่าย ขณะที่กสท ควรจะทำธุริกจคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์แทน เนื่องจากปัจจุบันทั้ง 2 องค์กรมีการดำเนินธุรกิจดังกล่าวไปบ้างแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงการวางโครงข่ายหลัก และลดการทำธุรกิจที่เป็นเชิงพาณิชย์ และหันกลับมาทำธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ภาคประชาชนให้มากขึ้น และต้องมีการสร้างโครงข่ายให้เข้าต่อไปถึงผู้บริโภครายสุดท้าย
       
       "แผนนโยบาย 4 ปีไอซีทีได้จัดทำแผน "ควิก วิน" ซึ่งตามการศึกษาของสถาบันชั้นนำ ซึ่งพบว่าการเข้าถึงบริการสารสนเทศ ไอซีที และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จะช่วยส่งเสริมให้ GDP ประเทศเติบโตได้สูงสุดถึง 9.8% เมื่อมีประชากรเข้าถึงบรอดแบนด์ได้ 48 ล้านราย"
       
       Company Relate Link :
       ICT

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)