ศาลได้มีคำตัดสินในคดีการเสียชีวิตของ “ไมเคิล แจ็คสัน” ออกมาแล้ว โดย “ดร. คอนราด เมอร์เรย์” ถูกพิพากษาให้มีความผิดจริง ในคดีที่เขาถูกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จนทำให้ศิลปินชื่อดังวัย 50 ปี ถึงแก่ความตายในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2009
ดร. คอนราด เมอร์เรย์ ต้องถูกใส่กุญแจมือ และนำตัวออกจากห้องพิจารณาคดีไป ซึ่งสื่อต่างประเทศบรรยายว่าเขาแสดงท่าทีกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้แทบจะไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาทางใบหน้าเลย ตลอดของการพิจาณาคดี
โดยจะมีการพิจารณาโทษของ หมอเมอร์เรย์ อีกครั้งในวันที่ 29 พ.ย. ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ตั้งแต่โทษทัณฑ์บน, ถูกยึดใบประกอบโรคศิลปะ จนไปถึงการจำคุก 4 ปี
การพิจารณาคดีครั้งนี้ดำเนินมาถึง 6 สัปดาห์ ซึ่งพนักงานอัยการพยายามชี้ให้เห็นว่านายแพทย์วัย 58 ปี ผู้ได้รับการว่าจ้างถึงเดือนละ 150,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน ประพฤติตัวละเมิดต่อหลักจรรยาแพทย์ ในการรักษาอาการนอนไม่หลับของ ไมเคิล แจ็คสัน ด้วยการให้ยา “โปรโพฟอล” ที่คาดเดาผลได้ยาก และยังมีฤทธิ์กล่อมประสาทอย่างรุนแรง
นอกจากนั้นอัยการยังแสดงให้เห็นว่า เมอร์เรย์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องเศร้าเมื่อ 2 ปีก่อนขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของความขาดตกบกพร่อง เกี่ยวกับอุปกรณ์สำหรับเฝ้าระวังอาการ รวมถึงขาดเครื่องมือที่สำหรับการช่วยหายใจ เมื่อไมเคิลมีอาการไม่รู้สึกตัว
ยังมีข้อมูลว่าแพทย์ผู้นี้ละทิ้งหน้าที่จากเตียงของ ไมเคิล เพื่อไปเช็คอีเมล์ และโทรศัพท์อยู่หลายหน ซึ่งอัยการเรียกว่าเป็นการ “ทอดทิ้ง” ผู้ป่วยอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนฝ่ายทนายจำเลย พยายามอธิบายว่า ไมเคิล เองสรุปตกลงจะใช้ยาโปรโพฟอลเพื่อบรรเทาอาการนอนไม่หลับของตัวเอง ตั้งแต่ก่อนจะว่าจ้างหมอเมอร์เรย์ ให้ทำหน้าที่แพทย์ส่วนตัวสำหรับการเตรียมตัวแสดงคอนเสิร์ต This Is It แล้ว
นอกจากนั้นทนายความพร้อมด้วย ดร. พอล ไวต์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยาโปรโพฟอลยังให้ความเห็นว่า ไมเคิล ได้ฉีดยาโปรโพฟอลให้กับตัวเองเพิ่มเติมไปอีก พร้อมกับใช้ “โลราซีแปม” ยากลอมประสาทอีกประเภท โดยไม่บอก หมอเมอร์เรย์ จนกลายเป็นเหตุสุดวิสัย ที่ทำให้เขาไม่สามารถช่วยชีวิตราชาเพลงป๊อปได้ในท้ายที่สุด
เอ็ด เชอร์นอฟฟ์ ทนายความของฝ่ายหมอ ได้กล่าวในการแถลงปิดคดีว่า แม้สุดท้ายแล้วถ้าจะมีหลักฐานว่า ดร.เมอร์เรย์ ไม่ได้รักษาไมเคิลตามขั้นตอน แต่อัยการก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีผลต่อการเสียชีวิตของเขา
ส่วนอัยการ เดวิด วัลเกรน ก็กล่าวว่า หากคณะลูกขุนจะเชื่อข้อมูลที่ว่า ไมเคิล รับยาอื่น ๆ โดยที่ ดร.เมอร์เรย์ ไม่ได้รับรู้ แต่ถึงอย่างไรผู้เป็นแพทย์ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของคนไข้ เพราะเขามีส่วนที่ปล่อยให้ แจ็คสัน ซึ่งอาจจะมีอาการเสพติดยาดังกล่าวไปแล้ว อยู่ใกล้กับยากล่อมประสาทอันตรายในระยะที่สามารถหยิบฉวยมาใช้ได้
ที่มา: manager.co.th