Author Topic: “ชาคริต” หลั่งน้ำตาลูกผู้ชาย ลั่นไม่วิตถารขยำนม “โบวี่” ฉะ RS ผิดแล้วไม่ขอโทษ  (Read 1805 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Reporter

  • Gold Member
  • *
  • Posts: 1093
  • Karma: +8/-0
  • Gender: Male
    • ซ่อมคอมเชียงใหม่






“ชาคริต” เหลืออดปล่อยโฮอย่างไม่อาย ก่อนประกาศไม่วิปริตขยำนม “โบวี่” ในหนัง ยันเป็นความผิดของพีอาร์ค่ายหนังที่ปล่อยภาพโปรโมต แถมยังไม่มีคำขอโทษ ลั่นไม่ฟ้องและไม่มีเคลียร์ เพราะไม่มีประโยชน์ เหน็บควรคิดก่อนทำว่า ใครได้รับผลกระทบ บ่นข่าวฉาวทำท้อจนอยากลาออกจากวงการ
       
       หลังมีภาพฉาวโฉ่ขณะกำลังเอามือขยี้ขยำเต้าดาราสาวเซ็กซี่ “โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์” จากฉากเลิฟซีนในภาพยนตร์เรื่อง “แฟนเก่า” ของค่ายหนังอาวอง ในเครือบริษัทอาร์เอส โผล่ออกมา และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เป็นเหตุทำให้พระเอกไม้เลื้อย “ชาคริต แย้มนาม” สุดทน ต้องควงคุณแม่ สมลักษณ์ แย้มนาม มา ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าวที่ร้านโอยั๊วะ ย่านเกษตรศาสตร์ เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา (24 ส.ค) โดยเจ้าตัวได้ชี้แจงพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า ยันไม่ใช่คนวิปริตวิตถารที่จะทำเช่นนั้น
       
       “ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือพิมพ์เท่าไหร่ แต่มีคนส่งข่าวมาให้บ้าง ส่งพาดหัวข่าวมาให้บ้าง เราก็งงว่ามันคืออะไร เพราะเราไม่เคยคุยกับทางพีอาร์ของหนังเลยว่า จะมีการพีอาร์ยังไง แต่ทางสื่อที่ออกมันออกมาก่อน แล้วถึงมีคนโทรมาสัมภาษณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกยังไงกับข่าวที่ออกมา แล้วไม่มีใครออกมาแก้แทนผมในเรื่องของข่าวเลย"
       
       "กลายเป็นว่าผม กิ๊บซี่ (เกิร์ลลี่เบอร์รี่) และโบวี่ ต้องไปนั่งตอบกันเองในรายการที่ได้ไป แสดงความเป็นนักแสดงเต็มที่ แต่ในข่าวที่ออกมามันออกมาในทางวิตถาร ในทางกามลามก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของการแสดง ซึ่งผมเห็นว่ามันมีผลเสียต่อผมค่อนข้างมาก”
       
       “ตอนแรกที่เล่นหนังเรื่องนี้ ยังคุยแซวกับพี่ต้อม (ปิยะพันธ์ ชูเพ็ชร์ ผู้กำกับ) เลยว่า เฮ้ย....พี่เอาข่าวผมมาทำเป็นหนังหรือเปล่าวะ แต่มันเป็นเรื่องแซวกันพูดเล่นกัน เพราะปกติผู้ชายจะมีเรื่องความเจ้าชู้มาด้วยอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือมันไม่ใช่ความเจ้าชู้ในเรื่องของเซ็กส์ ในเรื่องมันคือความเจ้าชู้ของผู้ชายคนหนึ่ง ที่เขาทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งแค้นแล้วฆ่าตัวตาย กลายเป็นผีกลับมาแก้แค้นคุณ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นอุทธาหรณ์ที่ดี เป็นข้อคิดสำหรับผู้ชายเจ้าชู้ แต่มันอยู่ในรูปของความบันเทิง”
       
       “หลังจากวันนั้นผมรู้เลยว่าต้องเจอคำถามอะไรบ้าง และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วันที่ผ่านมาผมต้องนั่งเหนื่อย และมานั่งสอน คือผมไม่รู้ว่าคนเขาแกล้งโง่หรือเปล่า ที่มาถามผมว่าเป็นยังไงมาเล่นเป็นตัวเอง มันไม่ใช่การแสดงเลย แล้วอย่างนี้ถ้าผมไปเป็น เหลาเปิง ไปเป็นโอปปาติก กูก็เป็นปีศาจใช่ไหม"
       
       "หรือ ไปเป็น คริตกะจ๋า บ้าสุดๆ อ้าว...แสดงว่ากูเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย กูเป็นทอมสิ ตกลงมันคืออะไร แล้วทุกอย่างมันก็พุ่งประเด็นมาที่ชาคริตเจ้าชู้ เล่นมาจนถึงอวัยวะเพศของผมที่มันเป็นตรงนั้น คือขอโทษนะผมไม่ได้เป็นคนเถื่อน หรือวิปริตขนาดนั้น”
       
       ยันเป็นความผิดของฝ่ายประชาสัมพันธ์ของค่ายหนัง ที่ปล่อยภาพออกมาจนทำให้เกิดประเด็นข่าว
       
       “ผมเป็นคนทำงานคนหนึ่ง ภาพที่ออกมาอยากเห็นกางเกงจังเลยว่า มันผูกเป็นก๊อบแก๊บที่ตรงนั้น หรือถ้าเกิดกางเกงปียกมันต้องเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าถ่ายกันตรงนั้นรู้ไหมองศาเท่าไหร่ อุณหภูมิยังไง มันเป็นเรื่องของการทำงานทั้งสิ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นมันคือวิจารณญาณในการทำงาน แต่ที่เป็นข่าวออกมาเขียนว่า นมโบวี่ช้ำโดนชาคริตขยำ หรืออะไรสักอย่าง"
       
       "คือ มันเป็นฉากถอดกระดุมที่อยู่ในฉากเลิฟซีน ซึ่งผู้กำกับเป็นคนบล็อกให้นักแสดงไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้ นอกเหนือไปจากที่ผู้กำกับสั่งเอาไว้ และทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นการตกลงระหว่างนักแสดงด้วย แล้วบ้านเราก็บ้านเมืองพุทธ คงไม่ใช่มาจูบกันระห่ำ และตัวผมก็ไม่ใช่อยากจะพิศวาสตรงนั้น ที่ผมเลือกอยู่ตรงนี้เพราะเป็นงานศิลปะที่ผมรัก ผมรักการแสดง”
       
       “ภาพ ตรงนี้จะออกมาไม่ได้ ถ้าไม่ได้เป็นการพีอาร์ ผมอยากจะบอกว่า ถ้ามีการคุยกันก่อน ผมอาจจะบอกว่าโอเค. แผนพีอาร์ของคุณเป็นอย่างนี้ผมรับได้ไหม จะเจาะจงเป็นชาคริตอย่างเดียวเลยนะ ซึ่งในเรื่องผมเล่นเป็นคนที่ชื่อ เคน ไม่ใช่ ชาคริต แย้มนาม แต่สิ่งที่ออกมามันยิงมาที่ผมคนเดียว ยังพูดแซวๆ เลยว่า ทำไมไม่เขียนบ้างล่ะว่า โบวี่มันจับอะไรผมบ้าง พูดตลกก็ยังหัวเราะกัน”
       
       “แต่ เมื่อเช้าผมรู้สึกไม่ไหว เลยโทรหาพี่ต้อมบอกเที่ยงนี้ผมขอ ผมไม่ไหวจริงๆ ใช้คำว่ากูไม่ไหว วันพรุ่งนี้ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อยู่ดีๆ ผมอาจจะไปกระทืบคนก็ได้ ด้วยความโมโหของผม แต่สุดท้ายผมคิดได้เพราะแม่สอนมาดี"
       
       "วันนี้ ผมไม่ได้มาโปรโมตหนัง เรียกว่ามาหยุดโปรโมตดีกว่ามาเปลี่ยนแผนโปรโมต ผมขอพูดตรงนี้ถ้าเกิดเล่นกับผมขนาดนี้ สงสัยหนังคงไม่สนุกแล้วมั้งครับ ถ้าเกิดจะให้ผมคิดแบบนั้น ผมคงคิดในแบบอื่นไปต่างๆ นานา แต่จะให้เราคิดอย่างนั้นเหรอ เพราะอย่างน้อยเราก็เล่นเป็นพระเอก และเราก็ทำงานตรงนี้เป็นนักแสดง”
       
       ตัดสัมพันธ์ไม่ขอเคลียร์กับอาร์เอส บอกไม่มีประโยชน์ เหน็บก่อนปล่อยภาพฉาว น่าจะรู้ดีว่าใครได้รับผลกระทบ
       
       “ผม คงไม่คุยกับพีอาร์ และคิดว่าคงไม่คุยด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าแนวทางตรงนี้จุดขายคืออะไร ถ้าเขามีเหตุและผลของเขา ก็น่าจะบอกผมตั้งแต่แรก เขาน่าจะรู้ดีว่าผลกระทบมันกระทบกับใคร แต่ในเมื่อเขาเลือกแบบนี้ ผมก็คงไม่ต้องไปรับฟังอะไรจากเขา คือเขาคิดว่าผมขายได้ถ้าไปอย่างนี้ หนังมันจะไปได้ดี ก็ต้องขอขอบคุณ"
       
       "แต่ควรบอกหน่อยนิดหนึ่ง เราจะได้เข้าใจ ปากคนมันบอกว่าไม่ได้โปรโมต แต่วันธรรมดาผมไม่เห็นใครจะเอาดอกไม้มาให้ผม ผมเล่นหนังเล่นละครมากี่เรื่อง ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ทำไมต้องเป็นหนังเรื่องนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาประชุมกันยังไง ผมโนคอมเม้นท์ละกัน วันรอบสื่อหนังผมต้องขอคิดขอเจรจาก่อนว่าจะไปไหม ตอนนี้แค่รู้สึกว่าเราต้องมานั่งพูดเพื่อตัวเราเองบ้าง”
       
       “ผมคิดว่านักแสดงก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน 10 ปีที่ผมทำตรงนี้ ผมมีประสบการณ์ในชีวิตแน่นอน เรื่องของการแสดงผมก็ทำใจว่าเราจะต้องมีข่าว ตอนเรามีแฟนหรือไม่มี ทุกคนต้องให้ความสนใจในข่าว ผมเลิกกับแฟนปุ๊บ วันรุ่งขึ้นผมกลายเป็นไม้เลื้อย กลายเป็นคนเจ้าชู้ทันที"
       
       "ซึ่งมันเป็นเรื่องเป็นราวอะไรก็ไม่รู้ ที่เขียนกันไปเขียนกันมา แต่โอเค.จะเรียกอะไรก็เรียกไป เราเป็นคนทำงาน เราเคยให้สัมภาษณ์ว่ารับได้ เพราะเลือกที่มาทำตรงนี้แล้ว เราเป็นคนของสาธารณะ และไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่โดนตรงนี้ ทั่วโลกที่เป็นดารามันต้องมีอะไรอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา”
       
       “ก่อนหน้านี้มีพี่นักข่าวโทรมาหาผม ถามว่าอยากลบภาพคำว่าไม้เลื้อยไหม ผมก็ตอบเขาไปว่า ผมไม่ใช่คนเลว คงไม่ต้องไปนั่งปรับเปลี่ยนอะไรในตัวผมเอง ต่อไปอีก 30-40 ปีคำนี้มันจะหยุดหรือไม่หยุด มันอยู่ที่ตัวพวกพี่ที่จะช่วยเหลือ หรือเข้าใจผมมากน้อยแค่ไหน จะเห็นใจกันมากแค่ไหน จะมองสิ่งที่ผมเป็นมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะพูดไป เพราะสุดท้ายแล้วผมคงไม่สามารถจะพูดอะไรได้เลย ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นจริง ผมหล่ออย่างแบรด พิตต์ ได้ค่าตัว 30 เหรียญ ผู้หญิงต้องเข้ามาชอบผมหมด”
       
       เผยทนกับข่าวฉาวมาตลอด พร้อมปล่อยโฮบ่นอยากออกจากวงการ เพื่อให้พ้นการถูกปรักปรำสักที
       
       “เมื่อก่อนผมเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก ถ้าเกิดเรื่องผมจะเป็นคนเงียบไม่พูด เพราะถือว่าเป็นผู้ชาย ใครจะเรียกเราว่าอะไร ไม่รู้ไม่สนใจ แต่มันคือสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นวันนี้ ซึ่งผมก็ทนมาตลอด แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ผมอยู่มาได้คือครอบครัว ผมรู้ตัวเองเป็นยังไง เพื่อนๆ ผมรู้ เพื่อนนักแสดงไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง นางเอกหรือใคร เขาบอกได้เลยว่าผมเป็นคนยังไง"
       
       "ผู้จัดทุกคนก็ไว้เนื้อเชื่อใจกันทุกคน และไม่เคยมีปัญหา ซึ่งมันทำให้ผมอยู่มาได้ ซึ่งในเรื่องความรักของผมที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เลิกรากันไป และมันเคยมีจุดที่ผมไม่ไหวเหมือนกัน และผมก็เคยแสดงออกมา”
       
       “ตอนนี้ผมโตแล้ว ซึ่ง 30 ปีที่ผ่านมาพอผมไม่มีแฟน ผมก็กลายเป็นเกย์ไปซะ อยู่ดีๆ ก็เป็นไม้ป่าเดียวกัน จะไปล่อกับพี่นก ฉัตรชัย ผมก็เออ...เอาเข้าไป แต่พอผมมีแฟนก็จะกลับไปให้ผมมีข่าวกับนางเอกอีกแล้ว ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมามันทำให้ผมเริ่มโตขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น โทสะน้อยลง เริ่มเข้าใจพวกพี่ๆ นักข่าวว่า เป็นหน้าที่การงาน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ทุกวันนี้นักข่าวบางคนเจอกันยังกอดกันได้เลย และผมเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจผมมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ผมก็แฮปปี้”
       
       “ผมยอมอุทิศตนให้กับงาน ไม่ว่าจะเป็นงานการกุศล ไปช่วยนักศึกษา ผมไม่ใช่เข้ามาตรงนี้เพื่ออยากดัง แต่ผมทำเพราะรักการแสดง และรักศิลปะตรงนี้จริงๆ ทั้งๆ ที่ทางบ้านและครอบครัวผมไม่มีใครเห็นด้วยเลย ถามว่าบ้านผมแฮปปี้ไหม จำเป็นไหมที่ผมต้องมาอยู่ตรงนี้ ผมขอบอกไว้เลยว่า....ไม่ (เสียงสั่น) ผมไม่รู้จะไปทำอะไรได้ดีกว่าเป็นนักแสดงหรือเปล่า"
       
       "ตลอด 10 ปีที่ทำงานมา แม่ผมไม่เคยมายุ่งเกี่ยวเลย แต่วันนี้ขอให้เขามาเป็นกำลังใจ เพราะผมไม่ไหวแล้ว ผมอยากออกจากวงการ ผมอยากจะพูดอะไรในสิ่งที่ผมอยากพูดเพื่อตัวเองบ้าง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครขอโทษ ในเรื่องที่ผมโดนปรักปรำหรืออะไร เมื่อก่อนผมอยากใช้คำว่า จะทำลายกันหรือไง แต่พอโตขึ้นมาก็ปล่อยวาง มาทำความเข้าใจกันดีกว่า มันคือชีวิตคนทั้งชีวิตและเรารักงานมาก แต่แบบนี้มันไม่ใช่สำหรับผม”
       
       ปัดครอบครัวแฟนไม่ปลื้ม เตรียมสั่งให้ลูกสาวเลิกคบหา ลั่นถึงข่าวจะทำท้อจนอยากออกจากวงการ แต่ยังลังเลเพราะไม่อยากทิ้งงานที่รักไป
       
       “เราอย่าเอาไปยุ่งกับบุคคลที่สามเลย แค่เขาเปิดโอกาสให้เราแค่นี้ มันก็มากแล้ว โชคดีที่เขายังมองผมเป็นคนอยู่ ผม ขอร้องเถอะ.....เห็นใจกันบ้าง เพราะมันเยอะไปแล้วเล่นถึงเรื่องกาม เรื่องวิตถาร ไม่รู้อนาคตผมจะอยู่ตรงนี้ไปได้นานแค่ไหนแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของการแสดง กลับกลายเป็นว่าคนที่มาเล่นกับผม เขาจะคิดว่าผมเป็นคนยังไง ความเป็นจริงขอให้มันมีอยู่บ้าง เพราะท้ายที่สุดแล้วความเป็นจริง ชีวิตส่วนตัว พ่อแม่ คนรักเรา ประชาชนที่มองหน้าเรา(ร้องไห้) เฮ้ย.....เจ้าชู้ ค__โด่อย่างเนี้ย มันไหวเหรอวะ”
       
       “เมื่อเช้าผมได้คุยกับแม่ว่าจะยังไง ก็ฟังคอมเม้นท์ให้เสร็จ หลังจากนั้นคงออกจากวงการ เพราะมันไม่ไหวจริงๆ ต้องขอไว้ ถ้าเกิดคิดว่าผมยังมีคุณค่าพอ และยังสามารถออกมาสร้างสีสันหน้าจอให้คนดูได้ ก็พิจารณากันนิดหนึ่ง (ร้องไห้) ผมคงไม่ฟ้องร้อง มันคงไม่มีประโยชน์หรอก ผมว่าเรามาใช้จิตใจกันดีกว่า”
       
       “ตัวผมคิดจะย้ายไปอยู่อเมริกาไม่รู้กี่รอบแล้ว ความคิดมันผ่านในหัวหลายครั้งแล้ว แต่ผมกดมันอยู่ เวลานี้ผมพูดได้แค่นี้ แต่ผมรักการแสดง และคนที่เป็นนักแสดงเขารักผมหมด เขาเข้าใจผมตรงนี้ ซึ่งผมโชคดีที่คนที่รู้จักตัวตนของผม เขาทำให้ผมอยู่ได้ แต่ว่า (ร้องไห้) ผมต้องบอกก่อนว่า ผมอยู่ตรงนี้ได้เพราะแม่ เราคิดว่าเป็นผู้ชายควรจะสร้างตัวเราให้ดี ทำอนาคตของเราโดยที่ไม่ต้องไปพึ่งเงินของแม่ เพราะเราผลาญเขามาเยอะแล้ว"
       
       "และผมก็ไม่อยากทิ้งสิ่งที่ผมรัก จะอยู่ได้หรือไม่ได้คงเป็นเรื่องในตัวผมเอง มันยังตอบไม่ได้ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ต่อ (ร้องไห้) มันพูดยากครับ ถ้าไปเราก็ทิ้งสิ่งที่เรารักไป เหมือนกับหนีอะไรหรือเปล่า เพราะเราไม่มีทางออก ผมไม่มีสิ่งอื่นไปทำ ผมมีแต่สิ่งนี้ที่เรารัก และเราก็ทำได้ดีมีมันอยู่ในมือแล้ว เราก็ต้องรักษามันให้ดีที่สุด เราจะทิ้งมันไปทำไม (ร้องไห้) ถ้าอยู่ต่อการรับงานคงรับไปอย่างนี้ แต่แผนการพีอาร์คงต้องคุยกันนิดหนึ่ง”
       
       ด้าน คุณแม่สมลักษณ์ แย้มนาม เผยความรู้สึกว่า ข่าวที่เกิดขึ้นค่อนข้างแรงและเกินขอบเขตไป แนะควรมีจรรยาบรรณ และเช็คข่าวก่อนนำเสนอ บอกตามใจลูกถ้ายังอยากทำงานในวงการต่อ เตือนให้ทำใจรับกับข่าวฉาวให้ได้
       
       “พอได้ยินข่าวนี้ก็ตกใจเหมือนกันเพราะจับเต้า ส่วนใหญ่ที่เห็นข่าวก็ไม่ค่อยพูดกับลูก เพราะดิฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่กับข่าวนี้ที่ออกมารู้สึกว่ามันแรงไป ถ้าจะพูดเรื่องการแสดงก็พูดได้เลย แต่ถ้าจะมาก้าวก่ายกันถึงเรื่องส่วนตัว ควรจะเช็คให้แน่ก่อนที่จะมีข่าวออกไป เพราะลูกของฉันเป็นเด็กดี ไม่เคยไปไหนเลย ทำงานเสร็จไม่ว่าดึกดื่นเที่ยงคืน เขาก็กลับถึงบ้าน เขาแทบจะไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากไปทำงาน"
       
       "ดังนั้นข่าวที่ออกมาดิฉันคิดว่ามันเกินขอบเขตไป พูดในฐานะแม่เราก็ไม่อยากให้เขาเข้ามาในวงการนี้ แต่เขาบอกว่ารักการแสดง เราก็ต้องยอม ก็บอกเขาเหมือนกันว่าเขาเป็นคนของสาธารณะ แต่คนของสาธารณะก็อยากให้มีจรรยาบรรณ ต้องคิดว่าการที่จะออกข่าวไป มันจะไปทำลายชีวิตส่วนตัวเขาหรือเปล่า”
       
       “ทุกคนไม่ได้รู้จักชาคริตหมด ทุกคนอ่านแต่ข่าวหนังสือพิมพ์ แต่คนที่เข้าไปดูหนังจะมีสักกี่แสนคนไม่รู้ พอเขาได้อ่านข่าว เขาก็จะจับแต่ข่าวมาเป็นข้อบกพร่อง ถ้าเกิดลูกสาวเขามาคบกับชาคริตเข้า เป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่ผู้หญิงต้องมีความรู้สึกไม่ดี อันนี้ดิฉันไม่ได้มาแก้ข่าวให้ลูก แต่ตอบในฐานะที่เป็นแม่ พูดตรงๆ ดิฉันไม่ชอบเข้าสังคมแบบนี้ ที่มาก็แค่เป็นเพื่อนลูก”
       
       “ใจดิฉันจริงๆ เขารักอะไรก็อยากให้ทำให้ดีที่สุด เราก็เข้าใจว่าเขาอยู่ตรงที่แจ้ง ไม่เหมือนพวกที่ทำงานออฟฟิศเช้าไปเย็นกลับ เรื่องเจ้าชู้มันมีด้วยกันทั้งนั้น แต่คนไม่เอามาเป็นข่าว แต่ลูกอยู่ในที่แจ้งเรื่องมันเลยเถิดไป"
       
       "มันสะสมมาแล้วดิฉันก็บอกลูกว่า ในเมื่อเธอมายืนอยู่ ณ จุดนี้แล้ว ต้องรับมันให้ได้ และก็พยายามพูดว่าถ้าเราไม่ได้เป็นอย่างนี้ ใครจะมาพูดว่าเราไม่ดี เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าตัวเราดี ก็แล้วแต่เขาว่าอยากจะอยู่ต่อไป ทนได้ก็ทน หรือทนไม่ได้ก็ให้มันจบไปแค่นั้นเอง”


ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)