ขณะที่บริษัททั่วโลกต่างแถลงผลประกอบการปีที่ผ่านมาไม่เป็นดังใจหวัง แต่บิ๊กบลูแห่งวงการไอที "ไอบีเอ็ม" กลับสวนกระแส ผลประกอบการไตรมาส 4 ยังเป็นบวก ส่งผลให้รายได้สุทธิทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 10.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ไอบีเอ็มทำได้อย่างไร ?
"ธันวา เลาหศิริวงศ์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ไอบีเอ็มทำในช่วงหลายปีมานี้คือ "การเปลี่ยนแปลง" ส่งผลให้ตัวเลขในอดีตที่เคยขาดทุนจาก 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นผลประกอบการบวกและมีกำไรที่ดี
ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ จากเดิมที่เน้นธุรกิจฮาร์ดแวร์แล้วไม่ประสบความสำเร็จต้องขายทิ้ง เปลี่ยนเป็นบริษัทด้านซอฟต์แวร์และเซอร์วิสแทน พร้อมกับลำดับภาพให้ฟังว่า สินค้าไอทีแบ่งเป็น 2 ประเภท
ประเภทแรก เป็นกลุ่มคอมโมดิตี้ที่การตัดสินใจของลูกค้าดูราคาเป็นหลัก คุณค่าเป็นรอง ประเภทถัดมาเป็นกลุ่มสินค้า high value ที่ลูกค้าให้ความสำคัญกับการบริการ และมูลค่าเพิ่มของการนำไอทีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไอบีเอ็มโฟกัส และเป็นเทรนด์ของเทคโนโลยีในอนาคต
"ไอบีเอ็ม" จึงตัดสินใจตัดธุรกิจพีซี พรินเตอร์ และเน็ตเวิร์กออกไป ควบรวมกิจการใหม่ๆ ตามแนวทางธุรกิจใหม่ ส่งผลให้ยังแข็งแกร่งได้มาถึงทุกวันนี้
"ตอนนี้ยากที่จะคาดการณ์การเติบโตของทุกอุตสาหกรรม แต่เชื่อว่าหากองค์กรใดไม่เปลี่ยนแปลงจะอยู่ในธุรกิจลำบาก ทุกอุตสาหกรรมมีผู้ชนะและผู้แพ้ การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่ลดทุกประเภท แต่ต้องลดในพื้นที่ที่จำเป็น"
เอ็มดียักษ์สีฟ้าประจำประเทศไทยอ้างถึงผลการสำรวจความคิดเห็นของซีอีโอใน ปี 2551 พบว่า 85% ของผู้ตอบแบบ สอบถามให้ความเห็นว่า บริษัทต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สามารถอยู่ได้ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วได้ เพราะปัจจุบัน เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าอดีต
1 ในหนทางที่จะช่วยฝ่าวิกฤตจากผลการศึกษาของ IBM Institute for Business Value พบว่า ในปีที่ผ่านมามีบางบริษัทในตลาดหุ้นที่มีผลประกอบการที่ดี แม้จะเจอกับมรสุมเศรษฐกิจ โดยบริษัทที่ประสบความสำเร็จ มีคุณสมบัติคือ "โฟกัสที่คุณค่าทางธุรกิจ หาโอกาสทางธุรกิจ และรวดเร็ว"
คุณค่าทางธุรกิจ เช่น การเสนอสินค้าตรงความต้องการของลูกค้า, การเปลี่ยนจากการโฟกัสที่ต้นทุนคงที่ เป็นการมองต้นทุนผันแปรรับมือกับดีมานด์ที่ไม่แน่นอน
การหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น บริษัทไปรษณีย์ไทยเพิ่มธุรกิจอร่อยทั่วไทย หรือเพิ่มจุดบริการไปรษณีย์ตามสถานที่ ท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและเปิดตลาดทางธุรกิจใหม่
เคล็ดลับข้อสุดท้ายคือการลงมือปฏิบัติอย่างรวดเร็ว หลังจากหาคุณค่าและโอกาสได้แล้ว ถ้ามัวชักช้าคนอื่นอาจแย่งชิงไปได้
"ภาพรวมอุตสาหกรรมไอทีในไทย ยังมีสัดส่วนต่อประชากรในประเทศค่อนข้างต่ำยังมีช่องว่างที่จะเติบโตได้อยู่ ไทยเป็น 1 ใน 150 ประเทศ ในตลาดที่ยังมีการเติบโต มีการใช้จ่ายด้านไอทีให้ไอบีเอ็มใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์"
ไอบีเอ็มจึงให้ความสำคัญ และคาดหวังกับการเติบโตของประเทศในกลุ่มนี้ แทนที่อิ่มตัวแล้วอย่างสหรัฐ, ยุโรป และญี่ปุ่น
หากประเมินสภาวะตลาดไอทีในปัจจุบัน ทุกภาคธุรกิจยังใช้ไอทีเพื่อทำธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ส่วนใหญ่ยังมีการรักษาการลงทุนต่อเนื่อง ไม่ปรับลดแต่อย่างใด โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันการเงินที่ยังต้องขยายสาขา รวมถึงค้าปลีก ดังนั้นโดยเฉลี่ย อุตสาหกรรมไอทีจึงโตมากกว่าจีดีพี
ที่สำคัญบิ๊กบอสไอบีเอ็มยังมองว่าคนไทยยังมีเงินในกระเป๋าเพื่อจับจ่ายใช้สอยอยู่
"ปัจจัยทางเศรษฐกิจทำให้ผู้เล่นในตลาดน้อยลง ปัจจุบันพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการพาร์ตเนอร์ที่จะอยู่ในตลาดได้อีก 5-10 ปี เพราะการเปลี่ยนแปลงไอทีแต่ละครั้งต้องใช้เวลาตัดสินใจ จึงเป็นโอกาสของแบรนด์ที่มีความเข้มแข็งในตลาด"
กลยุทธ์ของไอบีเอ็มคือพัฒนาทักษะของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการบริการและการออกไปพบปะลูกค้ามากขึ้น ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ลูกค้าต้องการคำแนะนำ ยิ่งต้องเข้าไปสร้างความใกล้ชิดเพื่อหาวิธีช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้า
แต่สิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยผลักดันคือโครงการ 3 จี ต้องการให้เกิดอย่างรวดเร็ว และการสนับสนุนการใช้ไอซีทีจากภาครัฐและเอกชน เพราะการใช้ไอซีทีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นการช่วยลด และเพิ่มการบริหารจัดการและการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงอบรมบุคลากรเพื่อส่งออก แรงงานไปยังตลาดไอทีในอนาคต