“อรัญญา” เลือดออกในสมองพ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่ต้องผ่าตัด แพทย์ระบุสามารถหายเป็นปกติได้ แต่ต้องฟื้นฟูด้วยกายภาพบำบัด คาดออกจากห้องไอซียูพรุ่งนี้(9 ก.ย.) ด้าน “ต้อย เศรษฐา” สุดโล่งที่คู่ชีวิตปลอดภัย บอกภรรยากำลังใจดีมาก ขณะที่ “อีฟ” ถึงกับสะอื้นไห้ด้วยความเป็นห่วงแม่
เกิดเหตุไม่คาดฝันกับวงการบันเทิงไทย เมื่อนางเอกชื่อดังในอดีต “เปี๊ยก อรัญญา นามวงศ์” ถูกหามส่งไอซียูโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กะทันหันช่วงหัวค่ำของวานนี้(7 ก.ย.) เนื่องจากมือและขาข้างซ้ายมีอาการอ่อนแรงเฉียบพลัน และปากเบี้ยวผิดรูป ทั้งนี้หลังจากแพทย์ทำการตรวจเช็คแล้วพบว่า มีเลือดออกในสมองซีกขวา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร จึงต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ 48 ชั่วโมง
ทั้งนี้ในช่วง 17.00 น. ที่ผ่านมา “ต้อย เศรษฐา ศิระฉายา” และ “อีฟ พุทธิดา” ลูกสาวได้เปิดแถลงข่าวขึ้นที่ ห้องประชุมชั้น 10 ตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยมี ศ.นพ.อดิศร ภัทราดูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ร่วมแถลงข่าวด้วย โดยเปิดเผยว่า ตอนนี้อาการของอรัญญาดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังต้องอยู่ในห้องไอซียู เพื่อรอดูอาการอีกสักระยะ คาดพรุ่งนี้จะสามารถออกจากห้องไอซียูไปพักยังห้องผู้ป่วยปกติได้
ศ.นพ.อดิศร : “เมื่อวานคุณอรัญญามีอาการแขนข้างซ้ายอ่อนแรง จากการตรวจพบทำให้พบว่ามีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนและขาข้างซ้ายอ่อนแรง และมุมปากมีอาการเบี้ยวเล็กน้อย เนื่องจากมีเลือดออกในสมองซีกขวา เลยทำให้เกิดอาการของซีกซ้ายเกิดขึ้น วัดความดันขณะนั้นก็ค่อนข้างสูง ก็เลยส่งเอ็กซเรย์ดูก็พบว่ามีก้อนเลือดขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร อยู่ที่ส่วนลึกของสมองข้างขวา ซึ่งตำแหน่งนั้นมันใกล้กับเส้นประสาทที่จะมาเลี้ยงกล้ามเนื้อของแขนและขาข้างซ้าย ก็เลยทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของแขนและขาข้างซ้ายขึ้น ปกติกำลังกล้ามเนื้อเราวัดเป็น 0-5 คุณอรัญญาอยู่ที่ 1-2”
“ส่วนใหญ่อาการเส้นเลือดในสมองแตกจะเกิดจาดความดันโลหิตสูง ถ้าคนที่ไม่รู้ว่ามันขึ้นๆ ลงๆ ก็มีโอกาสที่จะแตกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่การที่เราจะไปเช็คร่างกายเราเตรียมตัวพร้อม เราพักผ่อนเต็มที่ เวลาไปวัดความดันมันก็จะปกติ คือ 120-130 แต่เวลาเครียดมันก็จะขึ้น แต่ถ้าเราไม่รู้ตัวเราจะไม่รู้ว่าเราความดันขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งอันนี้อันตรายกว่า ผู้ที่รู้ว่าตัวเองความดันสูงแล้วรักษาตัวอยู่ตลอด และทานยาลดความดัน แต่ความดันสูงไม่จะเป็นต้องปวดศีรษะทุกครั้ง เพราะฉะนั้นต้องหมั่นเช็คแค่นั้นเองครับ”
“ตอนนี้คุณอรัญญาดีขึ้น ความดันจาก 220 ก็ลดลงมาอยู่ที่ 140/80 รู้ตัวดีตลอด จากการวินิจฉัยของแพทย์เลือดขนาด 2 เซนติเมตร สามารถที่จะละลายเล็กลงไปและหายไปเองได้ แต่คงต้องใช้เวลาในการละลายของลิ่มเลือด อันที่สองถ้าไม่มีอาการเลือดออกเพิ่มขึ้นจากนี้อีก ก็จะไม่มีการผ่าตัดอะไรทั้งสิ้น ส่วนการฟื้นคืนของกล้ามเนื้อต้องใช้วิธีกายภาพบำบัด ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกระยะนึง คาดว่าการเดินเหินไม่น่าจะมีปัญหา”
“ส่วนระยะเวลาในการทำการภาพบำบัดจะนานแค่ไหน ไม่สามารถบอกได้ ขึ้นอยู่กับว่าลิ่มเลือด 2 เซนติเมตร นี้ละลายเร็วแค่ไหน โดยปกติก็ใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ แต่เท่าที่ทราบว่าคุณอรัญญาออกกำลังกายตลอด ฉะนั้นการฟื้นของกล้ามเนื้อไม่น่าจะยากนัก เรื่องของอายุก็เป็นธรรมดาที่ฟื้นช้ากว่าคนที่อายุน้อย”
“ตอนนี้สิ่งที่ต้องระวังก็คือไม่ให้ความดันขึ้น ไม่ให้เครียด ตอนนี้เท่าที่ตรวจดูคุณอรัญญาก็อยู่ในสภาวะที่ดี คิดว่าถ้าวันนี้กับพรุ่งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็จะย้ายจากห้องไอซียูไปอยู่ห้องพิเศษ ทางการแพทย์เราจะไม่พูดคำว่าหายร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพูดไม่ได้ แต่อาการของคุณอรัญญามีโอกาสฟื้นคืนมาปกติครับ แต่การผ่าตัดไม่มีแน่ๆ แต่ถ้าก้อนเลือดในสมองแตกถึงต้องผ่าตัดเลย”
ด้าน “ต้อย เศรษฐา” สุดโล่งที่คู่ชีวิตปลอดภัย ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ ขณะที่ “อีฟ” ถึงกับสะอื้นไห้ด้วยความเป็นห่วงแม่
ต้อย : “เมื่อวานตอนเย็นผมกับคุณเปี๊ยกมารับประทานอาหารกับนายประวิทย์ และมีผู้จัดอีกประมาณเกือบ 20 คน ระหว่างนั้นเขาก็พูดคุยกับคนโน้นคนนี้สนุกสนานปกติ แล้วอยู่ๆ เขาก็หันมาบอกกับผมว่ามือซ้ายเป็นอะไรไม่รู้ไม่สามารถยกไปหยิบทิซซูได้ ผมก็จับมือเขาขึ้นมานวด แล้วก็หันไปเห็นปากเขาผิดรูป คือเบี้ยวไปหน่อยนึง ผมก็เลยคิดว่าต้องรีบพาไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ คุณอ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ก็มาอุ้มไปเลย”
“โชคดีที่สุดที่เราอยู่แถวนี้ จากช่วงเวลาที่เขาเริ่มมีอาการมาถึงโรงพยาบาลใช้เวลาแค่ 20 นาที ก็ถึงมือหมอแล้วทำให้อาการไม่ทรุดลง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีอาการอะไรเลย เป็นคนแข็งแรงมาก ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ต้องกินยา ตอนไปตรวจสุขภาพก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ตอนที่เขาเป็นขึ้นมาก็ไม่ได้เครียดเลย คุยกันเรื่องละครสนุกสนาน”
“เมื่อกี้เข้าไปเยี่ยมมาเขาก็ยังพูดเก่งเหมือนเดิม แต่มือซ้ายยังใช้ไม่ได้ แต่ขาขยับได้เล็กน้อย กำลังใจเขาดีมาก เขาไม่คิดว่าตัวเองป่วยด้วยซ้ำ”
อีฟ : “ตอนที่เกิดเหตุการณ์ประมาณเกือบ 3 ทุ่ม อีฟยังทำงานอยู่กำลังจะปิดออฟฟิศพอดี ก็มีพี่โทรมาบอกว่าคุณแม่เข้าโรงพยาบาล ตอนแรกอีฟคิดว่าอาจจะแพ้อาหารหรือเป็นอะไรนิดหน่อย เพราะทราบว่าคุณพ่อกับคุณแม่ไปทานข้าวกัน แต่พี่เขาบอกว่าคุณแม่ปากเบี้ยว แขนไม่มีแรง หนูก็ตกใจ(น้ำตาคลอเสียงสั่นเครือ) เพราะปกติคุณแม่ไม่เคยป่วย เป็นคนที่แข็งแรงมาก อีฟป่วยบ่อยกว่าอีก ก็เลยตกใจมาก”
“ตอนที่เห็นแม่เราก็รู้ว่าเขาก็ตกใจ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร สีหน้าแม่บ่งบอกว่ากังวลมาก เราก็เลยพยายามหัวเราะพูดคุยให้แม่ไม่เครียด ก็ให้กำลังว่าไม่ต้องกังวลไม่ต้องคิดมาก เมื่อเช้าแม่ก็ดูสบายใจขึ้นแล้ว”
ต้อย : “ผมต้องกราบของพระคุณท่านอาจารย์หมอ รวมไปถึงพยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจุฬาฯทุกคนที่ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่ถามไถ่กันมาตลอด รวมไปถึงทุกคนที่เป็นห่วง มันเป็นความอบอุ่นใจ เมื่อกี้ก็บอกเขาว่ามีคนเป็นห่วงเยอะมาก ก็เป็นความยินดีที่คุณเปี๊ยกยังเป็นที่รักของสื่อมวลชน และแฟนๆ ทุกๆ คน กราบขอบพระคุณครับ”
ที่มา: manager.co.th