Author Topic: “แอนดี้” แถลงโต้โดนคู่กรณีตบก่อน แถมขู่ “มึงตายไม่ดีแน่” วอนคืนเงินแล้วทุกอย่างจบ  (Read 792 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai




"แอนดี้" โชว์แผลที่หลังมือ เหตุจากต่อยกระจกรถ

“แอนดี้” แถลงชี้แจงหลังถูกแจ้งความทำร้ายร่างกาย โต้ตนโดนตบก่อน จึงต้องสวนกลับเพื่อป้องกันตัว แจงสาเหตุเกิดจากตนเดือดที่คู่กรณีหลอกให้ซื้อรถเถื่อน 1.3 ล้าน แต่เมื่อนำรถไปคืนแล้วอีกฝ่ายกลับไม่ยอมคืนเงิน แถมบอกหน้าตาเฉยว่าไม่รู้จักกัน แถมยังขู่ว่า “มึงตายไม่ดีแน่” วอนคืนเงินแล้วทุกอย่างจบ
       
       หลังจากพิธีกรชื่อดัง “แอนดี้ เขมพิมุก” ถูก “นายสิราวิชญ์ นกทอง” แจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย ที่บริเวณหน้า สน.คลองตัน เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา แถมยังมีหลักฐานเป็นภาพวงจรปิดของโรงพักที่จับภาพขณะเกิดเหตุไว้ได้จนทำเอาหนุ่ม “แอนดี้” ต้องตกเป็นจำเลยสังคม ดังกระฉ่อนขึ้นหน้าหนึ่งไปเมื่อหลายวันก่อน
       
       ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา เจ้าตัวได้เปิดแถลงข่าว ชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดแบบหมดไส้ ที่ สตูดิโอ RS ลาดพร้าวซอย 1 โดยอธิบายสาเหตุของการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้ว่าเกิดจาก โดนคู่กรณีหลอกให้ซื้อรถเถื่อนยี่ห้อบีเอ็มดับเบิ้ลยู 320 ไอ ราคา 1.3 ล้านบาท แต่เมื่อความแตกตนจึงนำรถไปคืน แต่ปรากฏว่าคู่กรณีกลับไม่ยอมคืนเงิน แถมยังปฏิเสธหน้าตาเฉยว่าไม่รู้จักกัน เป็นเหตุให้รู้สึกไม่พอใจกระทั่งทำให้เรื่องราวบานปลายดังกล่าว
       
       “เรื่องเกิดขึ้นมาเกือบปีมาแล้ว ก็คือเดือนกันยาปีที่แล้ว ผมขับรถคันเก่าอยู่ แล้วคันเก่าเริ่มมีปัญหา ผมก็ไปให้ศูนย์ดูหลายรอบ จนศูนย์เขาบอกว่าคุณควรจะต้องเปลี่ยนได้แล้วนะครับคุณแอนดี้ ผมก็เลยคิดว่า เราขับรถคันนี้มานานแล้ว แล้วก็ทำเงิน หาเงิน เลี้ยงตัวผม เลี้ยงแม่ ซื้อที่เล็กๆ ให้แม่แล้ว ก็คิดว่าน่าจะเปลี่ยนได้แล้ว ก็เลยลองเข้าไปเสิร์ชในเว็บดูครับว่ามีรถมือสองมั้ยที่เราอยากจะหามาขับ แต่ให้มันดูดีหน่อย ก็คิดถึง BMW เพราะว่าเพื่อนผมหลายคนก็ขับ BMW อยู่ ก็เลยคิดว่า เออ เราน่าจะลองดู ก็มีการเสิร์ชเข้าไปในเว็บหาว่า มีที่ไหนบ้าง ที่ราคาถูกแล้ววิ่งไม่มากเท่าไหร่”
       
       “แต่เผอิญฟ้ามันลิขิตครับ ว่าจะต้องมาเจอบุคคลคนนี้โดยผ่านนายหน้าคนหนึ่งที่เป็นผู้หญิง ตัวดำ เขาดูอยู่เขาคงรู้ว่าผมพูดถึงใคร แต่ผมจำชื่อเขาไม่ได้ ผมเจอเขาแค่ครั้งเดียวคือเขานัดผมไว้ที่ นาซ่าเวกัส ตอนช่วงระหว่าง 6 โมงครึ่ง แล้วรถคันที่มาก็คือ BMW320i ขับมาพร้อมกับเจ้าของ เหตุผลที่มากับเจ้าของเพราะว่าผมบอกกับทางเอเย่นว่า ผมจะไม่มีทางซื้อกับเอเย่นหรือนายหน้าที่ใดถ้าไม่มีเจ้าของมาด้วย แล้วช่วงระหว่างที่ผมไปเจอเขา เขาก็จะชี้ให้ผมดูโต๊ะนู้นโต๊ะนี้ตลอด ซึ่งผมก็ไม่ได้แคร์อะไร ผมแคร์อย่างเดียวว่าผมมาทำหน้าที่คือมาดูรถของผม”
       
       “ความที่เห็นรถ BMW คันใหม่ สวย ป้ายแดง ไม่ได้เอะใจเลยว่าจะเป็นรถอะไร คิดอยู่อย่างเดียวว่า เฮ้ย มันวิ่งน้อย แล้วราคาถูกมาก เขาพูดออกมาว่า รถคันนี้ เป็นรถที่เขาซื้อมาแต่ไม่ได้ขับและไม่ต้องกลัวว่าผิดกฎหมายหรือเปล่า เพราะว่าที่บ้านเขารวย ที่บ้านเขามีโกดังปุ๋ยอยู่แถวศรีนครินทร์ ที่บ้านผมมีฐานะ คุณไม่ต้องกลัว ผมชื่อนี้ เขามักจะชอบพูดชื่อนามสกุลและตัวชื่อเล่นของเขาว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แล้วมีอำนาจขนาดไหน แต่เขาพูดในเชิงของมิสเตอร์ไนซ์กาย คิดว่าเขาเป็นคน โอ้โห ดีมาก ทำให้ผมที่เป็นพิธีกรในวงการบันเทิงเชื่อใจเขาได้”
       
       “เขาก็เดินมากระซิบกับผมบอกว่า รถคันนี้ คุณไม่ต้องซื้อกับเอเย่น คุณปัดเขาไปเลย คุณมาซื้อกับผม แล้วคุณเพิ่มตังค์มาให้ผม แล้วผมจะทำรถคันนี้ให้สวย ก็คือจะไปหาทะเบียนมาให้ แล้วจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ผมก็ไม่ได้เอะใจว่ารถคันนี้เป็นป้ายแดง ที่มีจริงอยู่บนโลกนี้หรือเปล่า เอากลับบ้านไปเลย แต่ผมบอกว่าไม่ได้ ผมไม่มีเงิน ผมต้องไปขอแม่แล้วก็ต้องไปเบิกของผมเองด้วย เขาบอกว่าไม่เป็นไร ผมเชื่อใจคุณ เขาให้มาอย่างนี้ผมก็โอเค”
       
       “หลังจากนั้นผมโทรหาเขาทุกวัน เขาไม่เคยทวงเงินผมเลยซักบาท และผมก็ไม่เคยเอะใจว่าทำไม ผมพูดอย่างเดียวว่า พี่เชื่อใจผม ผมเชื่อใจพี่ ผมจะเอาเงินมาให้ ซึ่งเรื่องเงิน ผมไม่เคยโกหก หลังจากนั้นประมาณสามวัน แต่ผมโทรหาเขาตลอดนะครับ ว่ารถดีมาก ชอบ รถโอเค ผมก็ไม่ได้เอะใจว่าจะเป็นของเถื่อน ผมรู้อยู่อย่างเดียวว่า พี่คนนี้มีพระคุณกับผมมาก เพราะผมใฝ่ฝันมากว่าอยากซื้อ BMW ด้วยตัวเอง แล้วมันก็ทำได้”
       
       “พี่เขาให้โอนเงินเข้าบัญชีงวดแรก ถ้าผมจำไม่ผิดคือไม่น่าจะเป็นชื่อเขา หรืออาจจะเป็นไม่รู้ ผมจำไม่ได้ ผมต้องกลับไปดูรายละเอียดในเอกสารนะครับ ผมมีทั้งหมด 3 งวดด้วยกันที่ให้เขาไป งวดแรกผมให้ไปทั้งหมด 3 แสนบาท รถคันนี้ราคา 1 ล้านบาทถ้วน เหตุผลที่ผมจ่ายแค่ 3 แสนก่อนเพราะว่าผมจำเป็นต้องเอาไปให้รุ่นพี่ผมที่รู้จักรถเช็คดูก่อน ว่ามันเป็นอย่างไร เรื่องถูกกฎหมายนี่ผมไม่รู้ จนรุ่นพี่ผมบอกโอเคจ่ายไปเลย เอ็งนี่โชคดีนะ เช็คทุกอย่างแล้วตรงหมดผมเลยไม่เอะใจ”
       
       “แล้วที่เหลือผมก็ขอเงินแม่อะไรมา เขียนเช็ค 7 แสนบาท ตอนแรกเขาบอกให้โอน ผมบอกไม่โอน ผมอยากเจอหน้าพี่ เพราะว่าอยากให้พี่สาวผมที่เป็นทนายเห็น อย่างน้อยเป็นพยานให้ผมว่า ผมไม่ได้ถูกหลอก หรือว่าถ้ามีอะไรอย่างนี้เกิดขึ้น อย่างน้อยพี่สาวผมยังจำได้ ให้นัดเจอกันที่ไหน ผมก็เอาเช็คเงินสด 7 แสนบาทไปให้เขา ผมบอกพี่ครับแม่ผมกับพ่อผมขอสัญญาซื้อขาย เขาบอกว่า คุณเชื่อผมสิ ผมไม่ต้อง เขาก็หยิบกระดาษของเขาขึ้นมา แล้วกรอกทุกอย่างเองหมดเลย แล้วก็เซ็นให้ผม แต่ส่วนผมพี่สาวเขียนเช็คให้ในนามของเขา เป็นเช็คเงินสด และถ่ายเอกสารแล้วให้เขาเซ็นทุกอย่าง เขาเขียนหมดเลยว่านี่เป็นงวดสุดท้ายนั่นนี่นั่น ลงวันที่ลงลายเซ็นหมด”
       
       “สัญญาซื้อขาย แม้แต่สำเนาบัตรประชาชน เขาไม่ยอมครับ เขาไม่ยอมเซนต์เลยครับ จนผมต้องเซ็นเช็คเงินสดงวดทีสอง 7 แสนบาทของพี่สาวที่เป็นทนายให้เขาเซ็น ไม่งั้นผมไม่มีอะไรในตัวเขาเลย (รู้ชื่อมั้ย?) รู้หมด เขาให้บัตรมาครับ คือเราจะต้องเช็คก่อนว่า ชื่อ กับ เช็ค เพราะว่าบัญชีที่เขาให้มาบางครั้งก็ไม่ใช่ชื่อเขา แต่พี่สาวจดเลขบัตรประชาชนไว้ เขาเตือนผมก่อนว่าอย่าให้เกิดขึ้นเรื่องนี้ ถ้าขึ้นโรงพักอย่างไรผมก็แพ้ เพราะว่าเราเป็นดารา เขาบอกว่าผมเป็นดารา อย่างที่เขาบอกว่า รถอะไร หลักฐานอะไร ผมไม่รู้จักคุณ แต่ตอนนี้สำเนาเซ็นเช็คอยู่กับผู้กำกับครับ เป็นหลักฐานที่ไม่สามารถโชว์ได้”
       
       แต่เมื่อจ่ายเงินค่ารถเรียบร้อย ก็ยังติดที่ทะเบียนป้ายแดงที่ต้องหาทะเบียนจริงมาใช้ โดยคู่กรณีเรียกเก็บเงินถึง 4 แสนบาท
       
       “ตอนแรกเขาบอกเขามีป้ายอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าเขาชอบป้ายนี้ เขาขอเก็บไว้ก่อนแล้วกัน แล้วผมจะหาป้ายใหม่มาให้คุณ เป็นเลขทะเบียนสวยแต่คุณต้องจ่ายเงินนะ จะทำให้เรียบร้อยทุกอย่าง ผมโอเค ไม่มีปัญหา เขาเรียกผมไป 4 แสน ผมบอกเฮ้ยพี่ มันขนาดนั้นเลยหรอ มันเยอะไปมั้ย ผมก็เลยให้เขางวดแรก 2 แสน ขอดูก่อนว่าพี่จะมีอะไรรีเทิร์นกลับมาให้ผมมั้ย”
       
       “โอนเงินไปให้เขาเสร็จปุ๊บ รู้มั้ยครับเขาส่งอะไรมา เขาส่งเพลตรถยนต์สีขาว มีทะเบียน สวยด้วย เลขทะเบียนสวยเลย แต่ส่งมาทางไปรษณีย์ครับ แล้วเขียนกำกับว่าห้ามใช้จนกว่า เดือนนี้ เดือนนี้ แล้วสมุดไปไหน เขาก็บอกว่าคุณไม่ต้องกลัวนะ เขาก็จะพูดอยู่อย่างเดียวว่า ไม่ต้องกลัวครับ ทุกอย่างเรียบร้อยหมด ผมสัญญา ผมเป็นคนที่ไม่เคยเอาของใคร ผมทำให้คือทำให้”
       
       “ผ่านไปเดือน 2 เดือน รวมกันแล้วทั้งสิ้น 6 เดือนถึง 7 เดือน ผมเริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ เพราะว่าเริ่มโทรไปแล้วไม่ติด เริ่มโทรไป 10 รอบ โทรกลับมาครั้งเดียว เริ่มส่ง SMS ไปสามสิบสี่สิบครั้งไม่เคยส่งอะไรกลับมา บอกอย่างเดียวว่าตอนนี้กำลังสืบคดีอยู่ ตอนนี้กำลังข้ามไปเกาะกง เพื่อไปดูคดีความ หรือว่าตอนนี้กำลังพาเพื่อนขึ้นศาลอยู่ คือทุกอย่างเขาจะทำอะไรอย่างที่ผมบอก เรื่องสีๆ ทั้งหลาย ซึ่งผมเป็นเด็กผมไม่อยากจะพูดเอ่ยเรื่องพวกนี้”
       
       “แล้วประมาณ 4 เดือนที่แล้ว เขาปิดมือถือ เป็นช่วงที่วิกฤตมาก เพราะช่วงนั้นผมทำงานทุกวันแล้วผมเครียดมาก ผมก็ปรึกษาพี่สาวผม แต่ผมก็เชื่อว่าเขาน่าจะเป็นใครจริงๆ เพราะเขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าของโกดังการเกษตร ปุ๋ย ที่ดังมาก อยู่แถวศรีนครินทร์ ใหญ่ และมีรถหลายคัน คือผมพยายามคิดไตร่ตรองทุกอย่างที่เขาพูดมาว่า เขาน่าจะเป็นคนจริงนะ และที่เขาหายไปก็น่าจะมีเหตุผล แต่ผมก็ยังเป็นคนบ้าที่โทรไป ตื่นเช้า 7 โมงโทร 9 โมงโทร 10 โมงโทร 11 โมงโทร โทรทั้งวันจนถึงตัวเองหลับ จัดรายการก็โทร ไม่มีสัญญาณตอบรับ”
       
       “สุดท้ายผมตัดสินใจว่าไปหารุ่นพี่คนหนึ่งที่ขายเต็นท์มือสองถูกต้อง อยู่แถวรัชดา ผมก็ให้เขาไปดู ดูเสร็จ เขาบอกว่ารถคันนี้เถื่อน พี่เคยเห็นมาเยอะแล้ว ไม่ประกอบมาก็ขนมาทางใต้ มาเลนู่น ผมก็บอกว่าเฮียมันไม่จริง ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยสังหรณ์ใจแบบนี้มาก่อน ทุกอย่างมันตรง เหมือนจิ๊กซอร์ที่มันเริ่มตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นอะไร”
       
       หลังจากรู้ความจริง จึงต้องการนำรถไปคืนและต้องการเงินคืน แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงจากพี่สาวทั้ง 2 คนของคู่กรณี
       
       “ผมก็เลยตัดสินใจว่าต้องเอารถไปคืนเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดก็ตามไม่สน แต่ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน เชื่อมั้ยว่า ตลอด 2 เดือนเต็ม ผมขับรถไปนอนเฝ้าอยู่หน้าบ้านเขาทุกวัน วันละสองสามชั่วโมง เพื่อต้องการคืนรถ แต่หาไม่เจอ ไปทุกที่ที่คิดว่าเขาจะไปก็ไม่เจอ บางครั้งเวลาเขาบอกอยู่ตรัง อยู่เชียงใหม่ อยู่ใต้ อยู่เมืองนอก ช่วงวันเวลานี้ แต่ทำไมเพิ่งเช็คเอาท์จากนาซ่าเวกัส(ที่ที่คู่กรณีพัก)ไปเมื่อ 2 วันที่แล้ว มันเหมือนกับทุกอย่างกำลังใกล้ความจริง”
       
       “วันหนึ่งโชคดีมากครับ เลิกถ่ายรายการเสร็จ รายการอะไรซักอย่างรายการหนึ่ง ทำผมแต่งหน้าไปเรียบร้อย ขับไปประมาณ 5 โมงเย็น เจอพี่สาวเขาครับ 2 คน ผมเข้าไปแล้วยกมือไหว้ พี่ครับ ช่วยผมด้วย น้องชายพี่เอารถอะไรมาขายผมไม่รู้ พี่สาวเขา 2 คนนะครับ เขาก็ปลอบใจผม ผมก็บอกว่า พี่ตอนนี้พ่อผมเครียดมาก แล้วแม่ผมก็ไม่สบายใจ ผมไม่กล้ากลับไปหาแม่หาพ่อ”
       
       “พี่สาวคนกลางลูบหลังผมแล้วบอกว่า ใจเย็นคุณแอนดี้ คุณเป็นคนดี ยังไงพระก็ต้องคุ้มครอง ไม่ต้องกลัว รู้ว่าคุณไม่ได้ซื้อของเถื่อนมาคุณสบายใจได้ เขาพูดจนผม (ถอนหายใจ) แต่พี่สาวเขากลับกลายเป็นด่าผมว่า คุณนี่เหมือนกะล่อนเลยนะ คุณเล่นละครให้ฉันดูหรือเปล่าเพราะฉันดูในละคร คุณดูเป็นคนที่แบบกะล่อน ปลิ้นปล้อน เข้าหาผู้ใหญ่ ถามว่าผมจี๊ดมั้ย ผมจี๊ดนะ เขาก็บอกว่างั้นคุณแอนดี้ คุณเอาเบอร์โทรศัพท์มา ฉันจะโทรไปเบอร์นี้ แล้วถ้าคุณมีปัญหาหรือว่าน้องชายฉันไม่ได้โทรไป คุณโทรกลับมาหาฉันได้เลย จนกระทั่ง 2 เดือนที่แล้วเขาก็ติดต่อกลับมาแล้วให้ผมเอารถไปคืน แล้วเขาก็หายไปเลย เขาไม่รับสายเลย ผมขอร้องเขาทุกอย่าง แต่เขาพูดอย่างเดียวว่าคุณก็ไปบอกพ่อคุณสิ”
       
       หลังจากหายเงียบเข้ากลับเมฆ จนวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา มีคนโทรมารายงานว่าคู่กรณีกลับบ้านจึงตามไป กระทั่งเกิดเหตุวิวาทกัน
       
       “มีคนโทรเข้ามาบอกผม ว่าเขามาถึงบ้านแล้ว และผมกำลังเล่นฟิตเนสอยู่ (หัวเราะ) ที่เอสพลานาด ผมก็รีบขับรถไปเลย ผมก็เลยตัดสินใจโทรหารุ่นพี่ผม ช่วงเวลาประมาณเที่ยงครึ่ง เขาก็ขับออกมา บังเอิญว่ารุ่นพี่ผม ขับรถผ่านไป แล้วหยิบกล้องมือถือแล้วถ่ายรถเขาพอดี แล้วเขาเดินออกมาแล้วเขาเห็น แต่รุ่นพี่ผมก็มีพิรุธ เขารีบปิดกระจกแล้วก็ขับรถออกไป แล้วเผอิญว่าฟิล์มเขาเป็นฟิล์มขาว ซีทรูหมดเลย แต่ว่ามีหมวกตำรวจอยู่ข้างหลัง ผมก็ไม่รู้เขาเป็นใครมาจากไหนนะครับ”
       
       “ผมก็เปิดประตูลงมาวิ่งออกไป แล้ววิ่งไปที่รถเขาแล้วเคาะประตู ไม่ได้พูดคำหยาบและไม่ได้มีการไปท้าต่อยอย่างที่เขาพูด ผมพูดประโยคแรกว่า ลงมา ขับรถหนีทำไม ตกใจใช่มั้ยที่มาเจอผม ทำไมถึงปิดมือถือ ทำไมไม่คืนเงินผม เขาค่อยๆ เอาแว่นตาดำกันแดดออกแล้วมองผม แล้วก็ไม่พูด แล้วก็ยังมีสมอลทอร์คอยู่ ผมก็เคาะ ตึงตึง ออกมา ออกมาคุยกันเลยตรงนี้ เอาให้เคลียร์ ตำรวจอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นไร ออกมาเคลียร์เลย”
       
       “พี่รู้มั้ยครับเขาทำอะไร ก่อนที่เขาจะขึ้นรถ แล้วเขาเห็นรุ่นพี่ผมถ่ายรูป รุ่นพี่ผมเห็นว่าถือกระเป๋าดำมาด้วย ซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นอาวุธ เป็นมีด หรือปืน คือไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่เขาย้ำว่าเป็นใคร ผมก็กลัวว่าแน่นอน การที่เขามีเครื่องแบบหรือว่ามีหมวกอยู่ในรถ เขาจะต้องมีอะไรซักอย่างหนึ่ง แล้วมือขวาของเขา เหมือนกำลังจะเอื้อมไปหยิบอะไรบางอย่างออกมา ผมก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าเป็นอาวุธแล้วปล่อยเขาหยิบขึ้นมาผมตายอย่างเดียวเลย”
       
       “ผมไม่ได้บอกว่าเขามีนะครับ แต่ผมสังหรณ์ใจตัวเอง ผมก็เลยเอากำปั้นมือขวาผมชกเข้าไปตรงหน้ากระจก ผมไม่คิดว่าพลังผมจะเยอะขนาดนั้น กระจกเกือบทะลุถ้าไม่มีฟิล์ม และก่อนที่ผมจะชกไปอีกหมัด กลับกลายเป็นว่าเขาขับรถหนี หนีโดยการที่ว่าผมอยู่ข้างรถ เขาเบียดผมไปเบียดรถรุ่นพี่ผม แต่ไม่โดนรถรุ่นพี่ เราก็เลยตาม แต่กลับเป็นว่าเขาวิ่งเข้าไปหาตำรวจเอง และบอกตำรวจว่าผม 2 คนจะอุ้มเขาไปทำร้ายร่างกาย ผมไม่เคยเห็นคนโกหกขนาดนี้มาก่อนเลย สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองดูน่าสงสารได้ขนาดนี้”
       
       “พอไปถึงโรงพักผมรีบกระโจนออกมา คือเขาโทรศัพท์ตลอดเวลา ผมได้ยินคำว่ามาเลยนะครับมาเลย ผมโดนทำร้าย เรียกนักข่าวมาเลยนะ แอนดี้ เขมพิมุก ดารา ผมก็เลยเดินไปบอกว่าจะเอาไงกับผม รถก็ไม่มี เงินก็ไม่คืน ประโยคแรกที่เขาพูดคือ รถอะไร มีหลักฐานหรือเปล่า อ้าว…ชิบเป๋งแล้ว ผมเลยบอกว่า พูดแบบนี้ก็สวยสิ คุณเอารถผมไปแล้ว เขาทำหน้ากวนใส่ผม แต่เขาก็ยังพูดโทรศัพท์อยู่ แล้วก็บอกปลายสายว่ารีบมา ผมกำลังจะโดนทำร้าย”
       
       “ผมพยายามที่เอามือข้างขวาของผมดึงโทรศัพท์เขาออกมา แต่ด้วยความที่เขาเหมือนฟึดฟัดใส่กัน ผมก็เลยพูดตลอดว่า คุยทำไม เรียกทำไม ตำรวจอยู่นี่ เลิกได้แล้ว แล้วเขาก็หันตัวมาหาผม แล้วพยายามที่จะศอก ผมก็เลยรัดคอไป ไม่ได้ทำร้าย ไม่ได้เตะ ไม่ได้ต่อยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาบอกว่าผมไปต่อยเขาตรงที่จอดรถ ผมก็เลยผลักเขาลงไปกับพื้น เพื่อที่จะบอกว่าหยุดได้แล้ว หยุดโทร ถ้าจะไปหาตำรวจ ไปด้วยกัน แล้วรองผู้กำกับและเพื่อนผม วิ่งเข้ามาดึงผมออกไป ผมบอกผมไม่ได้ทำอะไร”
       
       “ตามที่เห็นในภาพกล้องวงจรปิดนะครับ นี่เป็นเรื่องของการป้องกันตัวเลยพี่ เขาตบหน้าผม ผมก็เลยสวนไปของมันเองด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้ต่อยนะครับ ดูดีๆ ผมไม่ได้ต่อยนะครับ แต่เขาบอกว่าผมไปต่อยเขานะครับ ผมตบนะครับ พอตบเสร็จรองผู้กำกับบอกให้ผมออกไปข้างนอก ผมก็ออกไป”
       
       “ซักพักไม่ถึง 5 นาที ก็มีรถขับเข้ามา ผมรู้เลยว่าใคร ผมเห็นรถคันนี้ที่บ้านเขา ก็คือพี่สาวเขา 2 คน เดินเข้ามา ผมเดินเข้าไปประโยคแรกเลย พี่ผมขอโทษ ทำไมพี่ถึงไม่รับสายผม ผมพยายามจะขอร้องพี่แล้ว เขาพูดอะไรรู้มั้ยครับ คุณเป็นใครๆ แล้วคนที่พูดว่าคุณเป็นใครเนี่ย คือคนที่บอกว่าผมไปต่อยหน้าเขา ผมมีพยาน รองผู้กำกับก็เห็น เพื่อนผมก็เห็น ผมก็เดินไปบอกทำไมพูดกันแบบนี้ เป็นกันทั้งครอบครัวเลยหรือไง แต่อาจจะไม่ได้เป็นประโยคที่ชัดเจน”
       
       “แล้วเขาก็หันมาตบหน้าผม ในใจผมก็คิดว่าเจอน้องมันมาแล้ว ยังเจอพี่มันอีกหรือ ผมเป็นคนไม่ทำร้ายผู้หญิง ผมสาบานเลยนะครับ เขาตบผมอีกที ผมก็เลยผลักหน้าเขาออกไป นี่คือความเป็นจริงที่ว่าผมไม่ได้ต่อย และผมมีพยานนะครับ แล้วเขายังลุกขึ้นมาเอากระถางต้นไม้โยนใส่ผมอีกด้วย ซึ่งถามว่าใครนักเลงกันแน่ ผมไม่ได้ตบ ผมก็ดันมือไปแบบนี้ แล้วเขาจะมาเรียกผมตบ ผมผิดมั้ย”
       
       สุดท้ายแอนดี้โดนคู่กรณีเข้าแจ้งความทั้ง 3 ราย ข้อหาทำร้ายร่างกาย แจ้งความนานกว่า 3 ชั่วโมง วอนสื่อเห็นใจ อย่าฟังความข้างเดียว
       
       “เขาให้เข้าไป 3 คน แล้วแจ้งความผมคนเดียว และเขาเป็นคนแจ้งความคนแรก ใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบ 3 ชั่วโมง แล้วข่าวที่ออกมาคือจากคำพูดของเขาทั้งหมด ซึ่งไม่ได้ฟังอะไรจากผมเลย แล้วหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นที่ลงข่าวผมแย่อย่างนู้นแย่อย่างนั้น เขาก็รับฟังผมแล้วอย่างนี้ แล้วก็โทรมาถามผมว่ายังไง แล้วบอกว่าพี่เชื่อว่าแอนดี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังเขียนลงไปอย่างนั้นอยู่ ผมเสียใจนะครับหนังสือพิมพ์ที่ลงกับผมแบบนั้น ผมแค่อยากถามว่าโทรมาคุยกับผมทำไม 15 นาที 20 นาที แค่อยากฟังเสียงผมใช่มั้ย”
       
       “ผมขอวิงวอนคลิปวีดิโอที่ผมไปตบเขาหรืออะไร ขอให้หยุด มันไม่ดี เพราะว่าเขาอาจจะไม่ได้โกรธผมก็ได้ ผมเลยอยากให้หยุดตรงนี้เพราะเหมือนเป็นการหยามเขา คืออย่างน้อยตอนนี้เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร เขาอาจจะหายโกรธแล้วก็ได้ ผมก็ขอโทษพี่ด้วยละกันที่ไปทำอะไรพี่อย่างนั้น ผมยอมรับครับ ที่ผมทำไปนั้นมันเป็นการป้องกันตัว ไม่ได้เป็นการที่เข้าไปทำร้ายพี่ แล้วที่มือเนี่ย ไปทำกระจกพี่แตกเพราะผมคิดว่าพี่มีอะไรบางอย่างในรถซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นอาวุธหรือเป็นอะไร อาจจะเป็นหัวใจก็ได้ ผมไม่รู้”
       
       สอบถามเรื่องคดีในส่วนของ “แอนดี้” ว่าจะดำเนินคดีอย่างไรต่อไป เจ้าตัวก็กล่าวว่า….
       
       “ผมแจ้งความครับ นี่คือสิ่งเดียวที่ผมไปที่โรงพักในวันนั้น ผมแจ้งความเรื่องรถ แต่เขาแจ้งความผมทำร้ายร่างกาย ที่ผมกับรุ่นพี่จะไปอุ้มเขา ซึ่งมันคนละประเด็น แล้วก็หลายๆ อย่าง ผมจะไม่ขอพูดในสิ่งที่เขาแจ้งความ เพราะว่าผมได้ยินมาแล้ว แต่สิ่งที่ผมรู้อย่างเดียวคือสิ่งที่เขาแจ้งมานั้น ตรงกันข้ามกับผมเยอะ”
       
       “เขาพร้อมที่จะฆ่าผมครับ ทั้งชื่อเสียงแล้วก็ตัวผมเองด้วย ก็ไม่เป็นไร ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำหรือเปล่า อย่างที่เขาบอกหนักแน่นมาก เรื่องข้างหลังอะไรแบบนี้ แต่พี่เขาก็ตะโกนขึ้นมานะครับบอกว่า มึงตายไม่ดีแน่ ซึ่งเขาเคยพูดแล้วว่าเขาเป็นคนมีอิทธิพล มือปืน อะไรอย่างนี้ ผมก็บอกกับเขาเลยว่า ถ้าจะทำส่งจดหมายมาบอกหน่อยก็ดี จะได้ซื้อเสื้อผ้าอะไรให้มันเรียบร้อยนะ อย่างน้อยผมก็บอกแม่ รักแม่ทุกวันนะครับ”
       
       “ผมบอกได้เลยว่าถ้าเขาจะทำอะไรกับผมเชิญเลยครับ แต่ขออย่างเดียวครับ อย่าทำอะไรพ่อแม่ผม คุณจะมาบอกว่า มึงตายไม่ดีแน่ โอเค กับผมคนเดียวอย่ามายุ่งกับคนอื่น อย่ามายุ่งกับเพื่อนผม น้องผม อย่ามายุ่ง แต่ผมก็ขออย่างเดียวครับ พี่เอาเงินมาคืนแม่ผมเถอะครับ ผมไม่ขออะไรมากกว่านี้ ผมไม่ต้องการมาเปิดโปง หรือมาสาวอะไรทั้งสิ้น เข้าใจว่าพี่มีอำนาจมีอะไรก็แล้วแต่ อย่าใช้กับคนดีเลย ใช้กับคนที่ไม่ดีๆ กว่า”
       
       “ผมคงไม่ปรึกษาใคร ผมไม่มีใคร ผมเป็นธรรมดาพี่ ผมไม่มีใครต้องปรึกษา ผมพูดได้อย่างเดียวผมมาด้วยความบริสุทธิ์ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมบอกว่าวันนี้ หลังจาก 6 เดือนที่ผ่านมาผมรู้แล้วว่าเป็นของเถื่อน ผมถึงต้องคืนเขา และผมบริสุทธิ์ใจว่าเงิน 1 ล้าน 3 แสนบาทอยู่กับเขา และเอารถกลับคืนให้เขาแล้วด้วย แค่นี้เอง ผมไม่ต้องการอะไร”
       
       เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ “แอนดี้” รู้ซึ้งว่าของดีและถูกไม่มีในโลก
       
       “สอนให้ผมรู้ว่าอยู่ในวงการ ผมอยู่ในที่สว่าง ไม่ควรที่จะต้องให้ใจกับใครทุกๆ คนที่ผมรู้จักหรือคุยแค่ครั้งสองครั้ง และรวมไปถึงของดีไม่มีถูก จะมือสองมือสามมือสี่อะไรก็แล้วแต่ พ่อก็เพิ่งกลับมาจากอเมริกา เครียดมาก ส่วนแม่ผม เขาก็เสียใจอยู่แล้ว แล้วญาติผมทุกคนบางคนก็คงจะสมแล้ว บอกแล้วอย่าซื้อ”
       
       ท้ายสุดเจ้าตัวขอความเห็นใจคู่กรณีคืนเงินเต็มจำนวนเพราะสงสารแม่
       
       “สงสารแม่ผมเถอะ ผมเคยพูดแล้วว่าสงสารพ่อแม่ผมเถอะครับ ผมก็ทำมาหากินเหมือนพวกพี่แหละครับ ผมขออย่างเดียวคือเอาเงินมาคืนแม่ผม 1 ล้าน 3 แสนบาท เด็กคนหนึ่งที่พยายามทำ มันเหนื่อยพี่ ใช้เสียง ใช้กำลัง ใช้ทุกอย่าง เพื่อที่จะได้เงินก้อนหนึ่งมา 4 หมื่น 5 หมื่น 2 หมื่น 1 พัน มันยากพี่ พี่อย่าโกงเงินคนเลยผมขอแค่นี้ แล้วพี่จะให้ผมไปทำอะไร จ่ายค่ารักษาพยาบาลพี่ ผมยอม แต่ผมขอเงินคืน ไม่อย่างนั้นแม่ผมนอนไม่หลับ ให้ยุติตรงนี้ ถ้าพี่ซื่อสัตย์จริงออกมาคืนเงินผมแล้วจบ จบจริงๆ แล้วผมจะไม่ขอรื้อฟื้น ผมต้องการเพียงอย่างเดียว คืนเงินแม่ผมมาเถอะครับ เพราะผมคืนรถพี่ไปแล้ว”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)