สมาร์ทโฟนแบรนด์ LG กำลังเผชิญวิกฤติ !?
หลังจากขาดทุนในธุรกิจโทรศัพท์มือถือต่อเนื่อง 5 ไตรมาส นักวิเคราะห์เชื่อแอลจีกำลังถูกกดดันให้จำหน่ายธุรกิจโทรศัพท์มือถือทิ้งไป เพราะยิ่งทิ้งไว้หุ้นของแอลจีก็ยิ่งดิ่งเหว บนต้นทุนค่าใช้จ่ายที่คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดในบรรดาธุรกิจอื่นๆของแอลจี ด้านแอลจียังประกาศชัด พร้อมสู้ไม่มีถอยแต่ขอตัดเป้ายอดขายสมาร์ทโฟนปีนี้ลง 20%
สำนักข่าวรอยเตอร์สอ้างคำวิเคราะห์ของแฮร์ริสัน โค (Harrison Cho) นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย KB Investment & Securities ว่าการจำหน่ายธุรกิจที่ขาดทุนนั้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องการ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับแอลจีในขณะนี้ คือการผจญกับความกดดันให้จำหน่ายธุรกิจโทรศัพท์มือถือซึ่งขาดทุนต่อเนื่อง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยขณะนี้ ธุรกิจสมาร์ทโฟนของแอลจีคือปัจจัยหลักที่ทำให้แอลจีมีมูลค่าตลาดลดลงเหลือ 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่าเพียง 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดคู่แข่งอย่างเอชทีซี (HTC) ทั้งที่แอลจีมีธุรกิจทีวีและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านซึ่งครองส่วนแบ่งไม่น้อยในตลาดโลก
"หากแอลจีเลือกขายธุรกิจโทรศัพท์มือถือจริง แอลจีก็จะไม่ได้ผลดีจากการขายเท่าที่ควร เพราะแอลจีควรจำหน่ายในช่วงก่อนหน้าที่ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนยังไม่สะท้อนภาพติดขัดเท่านี้ ทำให้เห็นชัดเจนว่าแอลจีพลาดโอกาสไป" โคระบุว่านักลงทุนไม่ได้คล้อยตามกับคำที่แอลจียืนยันมาตลอดว่า มีความมุ่งมั่นกับธุรกิจโทรศัพท์มือถือ และกำลังสามารถฟื้นตัวได้อย่างน่าพอใจ
ก่อนหน้านี้ แอลจีเคยร่วมทุนฟิลิปส์ (Philips) และนอร์เทล (Nortel) ในการกระจายความเสี่ยงธุรกิจผลิตหน้าจอชนิดแบนและอุปกรณ์โทรคมนาคม จุดนี้โคมองว่าการร่วมทุนก็ยังเป็นไปได้ยากสำหรับธุรกิจโทรศัพท์มือถือของแอลจี เนื่องจากจะมีพันธมิตรไม่กี่รายที่ยอมร่วมทีมกับธุรกิจที่ขาดทุนเช่นนี้
***ลดเป้าสมาร์ทโฟน แอลจีซึ่งมีดีกรีเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับ 3 ของโลก ประกาศลดเป้าหมายจำหน่ายสมาร์ทโฟนในปี 2011 ลงจากเป้าหมายเดิม 20% เหลือ 24 ล้านเครื่อง แปลว่าแอลจีรู้ดีว่าสามารถจำหน่ายสมาร์ทโฟนได้น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ และไม่ตอบคำถามว่าแอลจีจะกลับมามีกำไรได้เมื่อไร
การปรับเป้าหมายครั้งนี้ถูกวิเคราะห์ว่าเป็นผลมาจากสมาร์ทโฟนตระกูล Optimus ของแอลจีไม่สามารถสร้างกระแสในตลาดเท่าที่ควร ที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android ของแอลจีทั้งรุ่น Optimus 2X และ Optimus 3D ยังไม่สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้อย่างที่ Galaxy ของซัมซุง หรือ iPhone ของแอปเปิลทำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้แอลจีเสียหลัก เพราะผู้บริหารแอลจีเคยย้ำว่าจะดำเนินนโยบายลดความสำคัญสินค้าฟีเจอร์โฟนซึ่งทำกำไรได้น้อยกว่า ไปให้ความสำคัญกับธุรกิจสมาร์ทโฟนซึ่งทำกำไรได้มากกว่าแทน
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าแอลจีต้องเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการที่คู่แข่งในตลาดโทรศัพท์มือถือต่างมีทางออกของตัวเองแล้ว ทั้งโนเกีย (Nokia) ที่ประกาศจับมือกับไมโครซอฟท์ (Microsoft) ไปก่อน และโมโตโรลาโมบิลิตี้ (Motorola Mobility) ก็ขายกิจการให้ยักษ์ใหญ่กูเกิล (Google) เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดนี้เชื่อว่าจะเป็น 2 ขั้วอำนาจที่จะบีบให้แอลจีต้องดิ้นเพื่อหาทางออกให้ตัวเองในเร็ววัน
'สิ่งที่แอลจีทำได้ในตอนนี้คือการรักษาข้อดีของตัวเองไว้ต่อไป ทั้งการเพิ่มฮาร์ดแวร์คุณภาพดีให้สินค้า การสร้างความต่างให้ผลิตภัณฑ์แอลจี และพยายามสร้างความหลากหลายไม่ผูกติดกับ Android อย่างเดียว โดยหันมาหา Windows อีกทาง' จุง กุน-ซิก (Jung Kyun-sik) ผู้จัดการกองทุนบริษัทวิจัย Eugene Asset Management ในกรุงโซลวิเคราะห์ไว้
แอลจีนั้นมีดีกรีเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับที่ 6 ในตลาด มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 5.6% ในช่วงไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือตลอด 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย. 54) รวมมีมูลค่าทั้งสิ้น 3.2 ล้านล้านวอน (ราว 9 หมื่นล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของยอดขายรวมแอลจี
LG Optimus 3D สมาร์ทโฟน 3 มิติรูปแบบใหม่ แต่ไม่โดนใจตลาด
ไม่เพียงเฉพาะรุ่น 3D รุ่น 2X ก็ไม่สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้
Company Related Link :
LG
ที่มา: manager.co.th