เอเซอร์ หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จากประเทศไต้หวัน เปิดเผยว่า บริษัทต้องประสบกับภาวะสูญเสียรายได้ในไตรมาสที่สองเป็นครั้งแรก ขณะที่ด้านประธานบริหาร J.T. Wang กล่าวว่า มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้สำหรับบริษัทที่มียอดขายเสมอตัวในปีนี้ ถึงแม้จะมีหลายปัจจัยที่นำไปสู่สถานการณ์ย่ำแย่ก็ตาม
โดยบริษัทเอเซอร์จำต้องสูญเสียรายได้ถึง 6.7 พันล้านเหรียญไต้หวัน หรือคิดเป็น 234.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาสที่สิ้นสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมันแตกต่างจากกำไรสุทธิที่ได้รับถึง 2.65 พันล้านเหรียญไต้หวัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา รวมถึงยังมียอดขายตกลงถึง 32% จากปีที่ผ่านมาด้วย ทั้งนี้ Wang ได้แจ้งข่าวแก่นักลงทุนว่า การสูญเสียรายได้ในไตรมาสที่สองนี้คือช่วงเวลาแห่งการแก้ไข รวมถึงอธิบายว่าบริษัทจำเป็นจะต้องมีการระบายสินค้าคงคลังที่เหลืออยู่มากเกินไป รวมถึงอาจจะมีการใช้เงินลงทุนราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการปรับโครงสร้างองค์กร โดยในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทได้ประมาณการความต้องการของตลาดโน้ตบุ๊คพีซีมากเกินไป จึงทำให้ท้ายที่สุด บริษัทก็ต้องเร่งระบายสต๊อกสินค้าที่เหลืออยู่ โดยมีมูลค่าเกือบ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ เอเซอร์ยังจะต้องทำการจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้บริหารระดับสูงที่ลาออก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Gianfranco Lanci อดีตซีอีโอของเอเซอร์ หลังจากที่เขาขอลาออก หลังไม่เห็นชอบกับกลยุทธ์ที่คณะกรรมการนำเสนอเมื่อเดือนมีนาคม ไม่เพียงเท่านี้ เอเซอร์ จะยังมีแผนที่จะปรับโครงสร้างบริษัท อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยการหันไปโฟกัสสินค้ากลุ่มพกพาที่ได้รับความนิยม ซึ่งนั่นก็หมายถึง สินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ขณะที่อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับที่สองของโลกต้องประสบกับภาวะขาดทุน ก็เนื่องจาก กระแสการมาของแท็บเล็ตฟีเวอร์ ที่ถึงแม้ Wang จะเชื่อว่า แนวโน้มดังกล่าวจะค่อยๆ ชะลอตัว และโน้ตบุ๊คจะสามารถเรียความสนใจจากผู้บริโภคกลับคืนมาได้ก็ตาม แต่อย่างไรก็ดี การสูญเสียรายได้ในไตรมาสที่สามก็ยังคงจะมีอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เลวร้ายเท่ากับไตรมาสล่าสุดก็ตาม ทั้งนี้ หุ้นของเอเซอร์ได้ลดลงถึง 2.9% ก่อนมีการประกาศรายได้ลดลง พร้อมกับมาร์เก็ตแชร์ที่ลดลง 0.6% ด้วย
Source : CNET
ที่มา: pantip.com