ออราเคิล สวนกระแสวิกฤติโลก เดินหน้าช้อนซื้อบริษัทขนาดเล็ก 10 รายใน 1 ปี รับมูลค่าบริษัทร่วงช่วงเศรษฐกิจทรุดตัว ปูฐานเติบโตในอนาคต
หนังสือพิมพ์วอลล์ สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า ออราเคิล สวนกระแสนโยบายรัดเข็มขัดสู้วิกฤติ โดยล่าสุดเดินหน้าแผนควบกิจการบริษัทต่างๆ แล้วอย่างเงียบๆ นับสิบราย
รายงานข่าวระบุว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่รายนี้ บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการบริษัทต่างๆ เสร็จสมบูรณ์แล้วถึง 10 ราย ครอบคลุมตั้งแต่บริษัทพัฒนาเครื่องมือเขียนนโยบายด้านประกันภัย จนถึงผู้ออกแบบซอฟต์แวร์สำหรับห้างสรรพสินค้า
รวมทั้ง ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา บริษัทยังได้ตกลงเข้าควบธุรกิจของ "เอ็มวาเลนท์ อิงค์" บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็ก ที่พัฒนาระบบเชื่อมการทำงานกับซอฟต์แวร์อื่นๆ
ทั้งนี้ การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว ส่งผลให้ออราเคิล ติดกลุ่มของบริษัทจำนวนไม่กี่รายที่ยังมีเงินสดจำนวนมากอยู่ในมือ และสร้างอำนาจการต่อรองได้ช่วงเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่
นายซอนนี่ ซิงห์ หนึ่งในทีมผู้บริหารฝ่ายซื้อขายธุรกิจของออราเคิล กล่าวว่า หากให้สมมติบทบาทเป็นบริษัทอื่นๆ ในช่วงนี้ ก็คงพยายามที่จะไม่ขายทิ้งธุรกิจของตัวเอง แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยากในจังหวะวิกฤติ
เขายกตัวอย่างของเอ็มวาเลนท์ ที่บริษัทเข้าไปซื้อเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ว่า เนื่องจากปีที่ผ่านมาบรรดาลูกค้ารายใหญ่สุดของเอ็มวาเลนท์ ซึ่งรวมถึงเลห์แมน บราเธอร์ และร้านค้าปลีกรายใหญ่อย่าง เซอร์กิต ซิตี้ สโตร์ ต่างเข้าสู่กระบวนการของศาลล้มละลาย
รายงานข่าวระบุว่า แม้แต่บริษัทซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลรายใหญ่สุดในโลกรายนี้ ซึ่งมีผลประกอบการ 22.4 พันล้านดอลลาร์ เมื่อปีงบประมาณ 2551 ก็ยังหนีไม่พ้นเศรษฐกิจขาลงเช่นกัน โดยไตรมาสล่าสุด รายได้สุทธิของบริษัทลดลง 1% ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี มูลค่าหุ้นลดลง 23% ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ออราเคิล ยังคงมีเงินสดสูงถึง 7.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตกว่า 20% มาตลอดหลายปี
ทั้งนี้ นโยบายการซื้อบริษัทต่างๆ ของออราเคิล เริ่มต้นขึ้นเมื่อครั้งเกิดวิกฤติในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีปี 2546 ซึ่งนายแลร์รี่ เอลลิสัน ประธานคณะผู้บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทคาดการณ์ว่า จะเกิดกระแสการควบรวมและการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ เพื่อความอยู่รอด
ดังนั้น เขาได้ดำเนินการตามแนวคิดดังกล่าวด้วยการเข้าควบรวมธุรกิจใหญ่ๆ นับแต่นั้นมา เช่น พีเพิลซอฟต์, ซีเบล ซิสเต็มส์ อิงค์, ไฮเปอเรียน โซลูชั่น คอร์ป และบีอีเอ ซิสเต็มส์ อิงค์ คิดเป็นมูลค่าดีลหลักหลายพันล้านดอลลาร์ขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ปีที่ผ่านมา ออราเคิลมุ่งความสนใจไปยังบริษัทขนาดเล็ก เนื่องจากไม่มีดีลขนาดใหญ่เหลือให้พิจารณามากนัก โดยทั้ง 10 ดีลมีมูลค่ารวมต่ำกว่า 750 ล้านดอลลาร์
ด้านผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการซื้อขายธุรกิจ ระบุว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะเหมาะ เนื่องจากราคาของบริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กร่วงลงอย่างมาก โดยปีที่ผ่านมา บริษัทซอฟต์แวร์ในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่าลดลงกว่า 30% และ 50% ในส่วนของบริษัททั่วไป