“นิรุตติ์” เวอร์ชั่นคลิปไม่หลุด วิพากษ์การเมืองหลังเลือกตั้ง อยากให้ทุกฝ่ายสงบให้โอกาสคนที่ถูกเลือกให้ได้ทำงาน ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม อยากให้แก้ไขปัญหายากจนเป็นอันดับแรก เห็นสมควรขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 เพื่อให้แรงงานได้ลืมตาอ้าปาก และปริญญาตรีก็ควรได้ 15,000 บาทตั้งนานแล้ว
เคยมีคลิปหลุด “หนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา” ดารานักแสดงชื่อดังวิพากษ์วิจารณ์การเมืองก่อนที่จะเลือกตั้งว่า เลือกใครมาก็มีแต่หน้าเก่าๆ พร้อมทั้งพูดถึงเรื่องเผาบ้านเผาเมือง จนกลายเป็นประเด็นที่พูดถึงกับทั่วประเทศ
“เลือกคนนั้น ไม่เลือกคนนั้น เลือกเข้ามาจะไปเลือกอะไรใคร ดูแล้วก็หน้าเดิมๆ ทั้งนั้น กลับเข้ามาก็หน้าเดิมๆ ทั้งนั้น ก็พวกที่ยุแหย่ยุยงคนให้เอาน้ำมันมาคนละลิตร 10 ล้านคน ก็ 10 ล้านลิตร 20 ล้านคน ก็ 20 ล้านลิตร แล้วก็มาเผาบ้านเมืองกันก็เกิดความเดือดร้อนกัน ทำมาหากินอะไรก็ไม่ได้ แล้วถ้าได้พวกนี้กลับมาเป็นรัฐมนตรีมาทำงานอีก เดี๋ยวก็มาเผาบ้านเผาเมืองอีก มารบฆ่ากันไปอีก ยุ่งเหยิงไปหมด ใครวุ่นวายใครเดือดร้อนล่ะ ก็คุณไม่ใช่เหรอ ผมไม่ใช่เหรอ...”
ซึ่งขณะนั้นเจ้าตัวไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย เพราะอยู่ในช่วงที่ไปพักผ่อนที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี แต่ก็ได้ในสัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวข้นคนข่าว ช่อง 9 ถึงเรื่องดังกล่าวสั้นๆ ล่าสุดมีโอกาสได้เจอกับนิรุตติ์จึงได้สอบถามถึงเรื่องดังกล่าว คราวนี้เจ้าตัวก็เลยวิพากษ์การเมืองซะยาว ไปฟังนิรุตติ์เวอร์ชั่นคลิปไม่หลุดกัน
“จริงๆ เรื่องคลิปมันก็ไม่ได้มีใครตั้งใจ เพราะเป็นการคุยกัน แต่ผมก็ไม่รู้ นั่นก็เป็นความคิดเห็นที่นั่งคุยกัน ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดไปเป็นคลิปหลุด มันก็น่าอายนะ คนอายุ 64 แล้วมีคลิปหลุด แต่ก็เป็นแค่ความคิดเห็นแค่นั้นเอง แล้วผมก็พูดโดยกว้างๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะมาหรือใครจะไป เราก็ต้องมีผู้บริหารประเทศ แต่ที่พูดก็คือต้องการให้บริหารประเทศโดยความละมุนละม่อม แล้วก็อย่าให้เกิดการแตกแยก คนที่ทำงานไม่เป็นหรือว่าคนที่ทำงานเก่งทั้งสองอย่างขอให้เข้ามาแล้วก็ทำงานได้เพื่อนำประเทศไปในทางที่เจริญเท่านั้นเอง”
“แต่ผลกระทบมันก็มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ นะครับ การที่คนหนึ่งพูดอะไรออกไปมันไม่ได้สามารถจะทำให้คนทั้งหมดเชื่อได้ หรือว่าจะทำให้คนทั้งหมดแตกแยกได้ แต่ก็ไม่อยากให้เกิดมีการแตกแยก นั่นก็เป็นความคิดเห็นของคนไทยทั่วๆ ไปที่คุยกันแบบนั้น หลายๆ คนก็คุยกันแบบนั้น แต่บังเอิญไม่มีคลิปของเขาหลุดออกไปเท่านั้นเอง แล้วบังเอิญจริงๆ ว่ามันมีคลิปผมหลุดออกไป ก็มีผลกระทบแต่ว่าไม่ได้รุนแรงอะไรมาก เพราะว่าเป็นแค่การแสดงความคิดเห็นในฐานะที่ผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่สามารถจะแสดงความคิดเห็นได้ ผมก็ไม่ได้ไปใส่ร้ายป้ายสีหรือไปทำร้ายใคร”
“แต่วันนั้นผมไม่รู้ ผมทำงานอยู่ แล้วก็เดินออกมาพัก ซึ่งตอนนั้นผมเร่งทำงานแล้วผมก็ไปต่างประเทศเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ผมบินไปอยู่เบอร์ลิน 10 กว่าวัน แล้วก็ไปสเปนอีก 4-5 วัน แล้วก็บินกลับไปอยู่เบอร์ลินอีก 3 วัน ผมทราบเรื่องระหว่างที่ผมไปอยู่ที่โนู่น คือหลายๆ ท่านก็โทรมาถาม เพราะเขาไม่รู้ว่าผมอยู่ไหน เพียงแต่โทรมาถามว่าเห็นหรือเปล่า แล้วคลิปมันหลุดออกมาได้ยังไง ผมก็งงว่าคลิปอะไร แล้วผมก็ถามว่าแต่งตัวอะไรยังไง เพราะผมไม่ได้อยู่เมืองไทย ผมก็เลยไม่ได้เห็น แล้วคิดว่าตอนนี้ก็คงไม่มีคลิปนั่นออกมาแล้ว เพราะผมก็พอจะเดาได้ ผมก็ลองสุ่มโทรไปว่าตามที่ทำงานว่าไม่ควรที่จะนำออกไปสู่สาธารณะ เพราะว่ามันอาจจะมีผลกระทบต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของผม”
“ซึ่งถ้าเกิดว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์กันภายในมันก็ไม่เป็นไร แต่พอมันนำไปสู่สาธารณะแล้วมันไม่ดี มันเสียมารยาท แต่เรื่องว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ผมก็ไม่ใช่คนขี้ฟ้อง แล้วฟ้องไปก็ไม่รู้จะได้อะไร มันก็เหมือนกับการแก้ตัวเท่านั้นเอง ว่าฉันไม่ได้ทำก็เลยต้องไปฟ้องเพื่อให้ดูว่าตัวเองดี และดูว่าตัวเองสะอาดมันก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นมา แล้วมันมีอะไรล่ะ ผมอยากให้มันหยุดตรงนี้ แล้วผมก็ได้ต่อว่าไปแล้ว เขาก็ขอโทษ หลังจากนั้นมันก็ไม่มีแล้ว ผมก็อยากให้เอาออกไปแบบถาวรอย่าให้กลับมาเพื่อให้เกิดความแตกแยกหรืออะไร เพราะว่าสิ่งที่พูดเป็นการวิจารณ์ทุกเรื่อง แล้วผมก็ไม่ได้บอกว่าใครก็เท่านั้นเอง”
บอกความรู้สึกที่พูดเพราะเห็นแต่ความวุ่นวาย และนักการเมืองที่เข้ามาเลือกตั้งก็มีแต่หน้าเดิมๆ ทั้งนั้น
“ณ ตอนนั้นที่ผมพูดออกไปก็คือไม่อยากให้มีความวุ่นวาย ดูว่าถ้าเผื่อตรงนั้นกลับมา ตรงนี้เป็น ตรงนั้นไม่เป็น คุณมาเล่นการเมืองเพื่อที่จะมาแย่งชิงเก้าอี้กันเหรอ คุณไม่ได้อยากที่จะเข้ามาบริหารประเทศให้มันเป็นความสงบเหรอ และถ้าหากว่าคุณคิดว่าประเทศมันสงบอยู่แล้ว และคุณก็มีการเลือกตั้งที่สงบถูกต้อง มันก็ไม่ต้องมาพูดอะไร ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์อะไร แต่ถ้าจะวิพากษ์วิจารณ์ก็คือขอเถอะในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งอยากให้เกิดความสงบ ไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายในบ้าน เพราะว่าการกระทำของคุณเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่คุณต้องการ แต่คนที่ไม่ได้ไปทำอะไรหรือไปเรียกร้องอะไร คนที่ทำมาหากินเขาเดือดร้อน แต่ว่าต้องยอมเดือดร้อนเพื่อประเทศชาติ อันนี้เข้าใจ”
“แต่ถ้าหากว่าเกิดความเสียหาย มันได้อะไร เพราะว่าทั้งหมดนี้ก็คือบ้านของเรา คนหนึ่งมาทำ คนหนึ่งก็มากั้น คนหนึ่งก็มาตี อีกคนหนึ่งก็มาฆ่า แล้วมันก็คงบ้านเดียวกันทั้งหมด แล้วบ้านใครเสียหาย ใครที่ตาย ก็มีชาวต่างชาติอยู่ 2-3 คนที่ตาย แต่ที่มากกว่านั้น 90 กว่าศพก็เป็นคนไทยทั้งนั้น ที่รู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องด้วย แล้วถ้าหากต่อสู้มา ต่อสู้ด้วยขันติสิ ต่อสู้ด้วยการที่ไม่ใช้ความรุนแรง ทำให้เกิดความสงบ ในการที่คุณจะเรียกร้องอะไรมาในสิ่งที่คุณต้องการ อย่าใช้ความรุนแรง ใช้คำว่ารักสิ คำว่ารักมันเป็นใบเบิกทางที่ดีที่สุด นั่นก็คือสิ่งที่คิดอยู่ตอนนั้น”
“ผมแค่ไม่อยากให้คนไทยเบื่อการเลือกตั้ง ไม่อยากให้คนไทยเบื่อการเมือง หรือว่าคนที่ไม่เบื่อการเมืองจะมีอยู่แค่กลุ่มเดียว มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของคน 60 กว่าล้านคนของประเทศ หรือว่า 30-40 ล้านคนที่มีสิทธิที่จะเลือกตั้ง ไม่อยากให้เขาเกิดความเบื่อ ถ้าเกิดเขาเบื่อเมื่อไหร่ ประชาธิปไตยมันก็หายไป อย่างเช่นว่าไม่เลือกใครเลย แล้วจะมีเลือกตั้งทำอะไร การเลือกตั้งคือประชาธิปไตย ให้คุณมีสิทธิในการออกเสียง นั่นคือประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นคุณต้องไปเลือก และเลือกใครคนใดคนหนึ่งที่คุณคิดว่าเขาทำงานได้เท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่บอกว่าไม่เลือก”
“มันต้องช่วยกัน แล้วมันก็ต้องรอ ในสิ่งที่คุณทำวันนี้มันไม่ใช่จะได้พรุ่งนี้ เรื่องของการเมืองมันเป็นเรื่องของวันนี้และอนาคต มันไม่ใช่เรื่องที่จะได้มาวันนี้เลย วันนี้เราได้คณะทำงานมา ไม่ใช่ว่าเขาจะมาเพิ่มเงินเดือน 300 เลยในทันที หรือว่าไปลดน้ำมันในวันพรุ่งนี้ ให้เขาได้ทำงานกันก่อน แล้วเราก็ดูตรวจสอบเขาไป ไม่ว่าใครจะมาเป็น เราต้องให้เวลาเขา แล้วก็ดูแล้วคิดแล้วตรวจสอบ นั่นคือหลักที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง นั่นคือสิ่งที่ผมคิดและผมพูด ไม่อยากให้เกิดความวุ่นวาย ในใจคิดว่าถ้าหากแดงมา เดี๋ยวเหลืองก็ออก พอเหลืองมา สีดำ สีน้ำเงินก็ออก สีแดงก็ออกอีก แล้วมันจะไปหยุดยุติตรงไหน ปลายเหตุมันจะอยู่ตรงไหน”
“ไม่อยากให้มีอะไรออกมา ปล่อยเขาทำงานไปแล้วคุณตรวจสอบ ใช้หลักนิติธรรม ใช้หลักนิติรัฐตรวจสอบหาข้อเท็จจริง แล้วคนที่ทำไม่ดีก็จะกลับมาเกิดไม่ได้อีกเลย เพราะตอนนี้ต่างว่าต่างเถียงกัน มันไม่ได้เกิดประโยชน์ ว่ากันไปเถียงกันมา โยนกันไปโยนกันมา ผมก็เลยบอกว่าผมเบื่อไง เพราะว่าถ้าเกิดไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็ใช้ความรุนแรง พอใช้ความรุนแรงไม่หยุดก็ใช้ความรุนแรงไปสู่ความรุนแรงอีก แล้วมันจะไปถึงตรงไหน อยากให้มันยุติกันสักที แล้วก็ให้ได้มีคนเข้ามาทำงานจริงๆ แล้วเราก็ดูว่าเขาทำงานได้ไหม ถ้าทำงานไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน ใช้ความรักในการเข้าไปว่าและเข้าไปถอดถอนแล้วก็ไปดึงเขาออกจากสังคมของนักการเมือง มันดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันไม่จบอย่างที่เราเห็นกันอยู่”
บอกสองฝ่ายการเมืองต้องปรองดองกัน ประชาชนที่รักทั้งสองฝ่ายก็ต้องให้โอกาสพรรคการเมืองพรรคอื่น เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
“พอตอนนี้เลือกตั้งกันเสร็จเรียบร้อย ผมก็มองว่า หนึ่งเลยคือเริ่มต้นดีในการเลือกตั้ง คนออกมาใช้สิทธิกันมาก เพราะฉะนั้นการเมืองข้างหน้าต้องเปิดโอกาสว่าให้เหนือกับใต้รวมกันให้ได้ เพราะเท่าที่ติดตามดูวันนี้มันเป็นฐานเสียงระหว่างทิศใต้กับทิศเหนือ อีสาน แต่บ้านเราก็มี 4 ทิศนะ อยากให้มันเป็นประเทศไทย ถึงแม้ว่าตะวันตกมันจะเล็กนิดเดียว แต่ว่ามันก็เป็นเขตของประเทศไทย ตั้งแต่จังหวัดตากลงมาจนถึงเมืองกาญฯ ก็คือเป็นทิศตะวันตกซึ่งเป็นแนวเล็กๆ แต่เราก็มี 4 ทิศ มีเหนือ ใต้ ออก ตก ตอนนี้อยากให้อนาคตการเมืองของบ้านเราว่าทุกคนเป็นคนไทยเหมือนกัน ใต้ก็ขึ้นเหนือได้ เหนือก็ลงใต้ได้”
“แต่เท่าที่ดูมันแบ่งกลุ่มชัดเจนในตอนนี้ ฐานของประชาธิปัตย์ก็อยู่ทางใต้ ไม่มีใครเจาะเข้าไปได้ เจาะเข้าไปก็ 2-3 ท่านเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วทางเหนือล่ะประชาธิปัตย์ก็เจาะเข้าไปไม่ได้ ก็เป็นพรรคที่เคยอยู่กับพรรคเพื่อไทยมาก่อน อีสานนี่แทบไม่ต้องพูดเลย อย่างเมื่อก่อนประชาธิปัตย์ยังเจาะเข้าไปทางเหนือได้แค่ 2-3 ที่นั่งเท่านั้นเอง แต่ว่าปัจจุบันนี้ก็ถดถอยไปอีก ก็ไม่อยากให้ดูว่าเป็นการแบ่งแยกประเทศไทย มันเริ่มต้นตรงนี้แหละ เท่าที่เห็นจากเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาชัดเจนมากๆ ว่าประเทศไทยถูกแบ่งนักการเมืองเป็น 2 ขั้ว ขั้วเหนือกับขั้วใต้เท่านั้นเอง(หัวเราะ) แล้วมันจะพัฒนาประเทศทั้งหมดได้ยังไง”
“ในเมื่อส.ส.เหนือบอกว่าฉันเป็นส.ส.เหนือฉันก็ต้องพัฒนาทางเหนือสิ ทางใต้มาเป็นรัฐบาลก็บอกฉันเป็นส.ส.ทางใต้ก็ต้องพัฒนาทางใต้สิ ไม่ขึ้นไปดูทางเหนือ แล้วประชาชนที่อยู่ทางเหนือ ที่อยู่ทางอีสานไม่ใช่คนไทยเหรอ คุณเป็นผู้แทนของคนทั้งชาติ คุณไม่ได้เป็นผู้แทนเฉพาะในจังหวัดหรือในเขตที่คุณลงสมัครเลือกตั้ง คุณสมัครเลือกตั้งในเขตนั้นแต่เมื่อคุณได้รับเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ไม่ได้บอกว่าประชาชนใต้ ประชาชนเหนือ ตะวันออก ตะวันตกหรืออีสาน แต่เป็นประชาชนของประเทศไทย คุณจะต้องเปลี่ยนค่านิยมตรงนี้ว่าทุกคนคือคนไทย ไม่ใช่ว่าไปรักถิ่นของตัวเองแล้วก็อยู่ตรงนั้น แล้วก็ตั้งป้อมกันไม่ให้ใครเข้ามาทั้งสองฝ่าย มันก็จะเกิดการพัฒนาที่ทั่วถึงลำบาก”
“นั่นก็คือความคิดของผม ว่าอนาคตข้างหน้าอยากจะให้ไม่มีได้ไหม ให้ประชาธิปัตย์ได้เข้าไปเลือกตั้งทางเหนือ ทางอีสานได้บ้าง เขาก็ควรจะพิจารณาพรรคของเขาว่าเขาเคยทุ่มเทอะไรระหว่างการทำงานตั้งแต่เป็นฝ่ายค้าน เป็นรัฐบาลหรือเปล่า ถ้ายังไม่เคยเข้าไปทุ่มเททางอีสาน ทางเหนือหน่อย ก็อยากให้พี่น้องประชาชนเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงทัศนคติ เช่นเดียวกันทางภาคอีสาน เพื่อไทยทางเหนือลงไปทางใต้ได้บ้างไหม ไปทำงานช่วยเหลือเขาได้ไหม ผมไม่อยากใช้คำว่าปรองดองหรอกนะ เราไม่ได้แตกหักอะไรกันหรอก เพราะคนเหนือก็ลงใต้ไปเที่ยวได้ คนใต้ผมก็เห็นขึ้นเหนือไปเที่ยวพระตำหนักภูพิงค์ เขาไปเที่ยวไปมาหาสู่กันได้”
“แต่ผู้แทนตั้งตัวเป็นศัตรูกันเอง แต่เวลาไปหาเสียงทำไมไม่ไปทำ ทำไมไม่ไปช่วยฟื้นฟูในเมื่อคุณเป็นส.ส. หรือคุณเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ทางใต้ก็คือประเทศไทย ทางเหนือก็คือประเทศไทย ตะวันออก อีสานก็คือประเทศไทย ฉะนั้นคุณจะต้องห่วงดูแลคนไทยเท่ากันหมดทุกภาค นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะเห็นในอนาคตข้างหน้า อย่ามัวมานั่งทะเลาะกันหรือมาประท้วงในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ค่อยๆ ทำแล้ววันนึงเราจะได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ”
“ทุกรัฐบาลที่เข้ามาก็ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น เรามีหน้าที่จะตรวจสอบในฐานะที่เลือกเขาเข้ามา หรือไม่ได้เลือกเขาเข้ามา แต่เขาได้เสียงข้างมากเข้ามาเพื่อมาดูแลพวกเรา เราก็มีสิทธิที่จะตรวจสอบพวกเขา ไม่ว่าคุณจะเลือกเขาเข้ามาหรือไม่ แต่ช่วยไม่ได้เขาเป็นผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศ ถึงแม้ว่าคุณไม่ได้เลือกและคุณไม่ได้ชอบ คุณก็ต้องให้เขาบริหารและคอยตรวจสอบเขาสิ ไม่ใช่ไปปัดแข้งปัดขาจนเขาทำงานกันไม่ได้ ไม่ว่าประชาธิปัตย์จะขึ้นมาหรือเพื่อไทยจะขึ้นมา พอประชาธิปัตย์ขึ้นมาก็มีกลุ่มหนึ่งไปปัดแข้งปัดขา เขาก็ทำงานไม่ได้”
“ตอนนี้เพื่อไทยขึ้นมาก็อย่าไปปัดแข้งปัดขา อย่าออกมาทำอะไร ปล่อยให้เวลาได้ทำงาน และให้ได้พิสูจน์ และคุณก็ดูสิ่งที่เขาจะพิสูจน์ออกมา ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนหรือคนไหนก็ตาม พรรคไม่ได้เกี่ยวข้อง คนที่เข้าไปอยู่ในพรรคต่างหากที่แฝงสีอะไรต่อสีอะไรเข้าไปอยู่ในนั้นและต้องการที่จะเข้าไปทำอะไรๆ เพื่อคณะหรือกลุ่มของตัวเอง ตรงนี้เราตรวจสอบเป็นตัวบุคคลที่เมื่อเข้าไปทำงานแล้ว พรรคไม่เกี่ยว เสื้อสีไม่เกี่ยว มันเกี่ยวแต่ว่าคนนั้นเขาเป็นใครและเขามาใส่เสื้อสีอะไรต่างหาก”
“คนไทยอย่าเบื่อการเมือง เราไม่มีสิทธิเบื่อ เราเบื่อไม่ได้หรอก ยิ่งเราเบื่อมันก็ยิ่งแย่ ฉะนั้นเราไปใช้สิทธิ์และเราไปตรวจสอบ แล้วอย่าฟังอย่างเดียว เมื่อฟังแล้วคุณคิดแล้วหาสิ่งที่ถูกต้องของสิ่งที่คนอื่นพูดออกมา อย่าฟังแล้วเชื่ออย่างเดียว อย่างนั้นคุณตกเป็นทาส คุณฟังแล้วคิดพิจารณาไตร่ตรองว่าสิ่งที่เขาพูดมามันมีถูกเท่าไหร่ มีผิดเท่าไหร่ เชื่อถือได้หรือเชื่อถือไม่ได้ ไม่ใช่เฮโลกันไปอย่างเดียว ผมฟังหมดทุกฝ่าย เราคิดเป็น ไม่ใช่พอใครเขาพูดมาเราก็เชื่อเขาแล้วด่าอีกฝ่ายหนึ่งเลย หรือฝ่ายหนึ่งพูดอะไรมาก็ไม่เชื่อเพราะเราไปเข้าฝ่ายโน้นแล้ว”
“ฉะนั้นถ้าคุณทำอย่างนี้มันก็จะไม่เกิดการเมืองที่ดีขึ้น แล้วจะทำให้คุณเบื่อ นั่นเพราะคุณได้ฟังแล้วคุณเชื่อเลย คุณต้องคิดและพิจารณาแล้วหาทางแก้ไขก่อนที่คุณจะไปเชื่อแล้วทำตามคนอื่นที่เขาพูด นอกจากว่ามันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วก็ถอยออกมา ไม่ต้องไปเข้าอะไรกับใคร บ้านเมืองก็สบาย เราแสดงความคิดเห็นได้ ไม่ได้ฝักใฝ่ใคร แล้วผมก็ไม่ได้ว่าใคร แต่แค่ตรงนี้มันไม่เหมาะสมผมก็พูด ใครจะมาก็แล้วแต่ ไม่ใช่ว่าพอเขาเข้ามาอีกฝ่ายหนึ่งก็ออกมาขับไล่ หรืออีกฝ่ายหนึ่งเข้ามาอีกฝ่ายหนึ่งก็มาเดินขับไล่หรือมานั่งประท้วงกันอีกแล้ว แล้วก็ฆ่ากันตายอีกแล้ว มันได้อะไร คุณทำร้ายบ้านเมืองน่ะ พรรคก็อยู่อย่างนั้น คนที่สมัครก็กลับมาสมัครกันใหม่”
“ที่มาทำแล้ววุ่นวายกันเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แล้วพรรคล่มสลายหรือเปล่า พรรคก็อยู่ คนก็อยู่เลือกตั้ง แต่สิ่งที่เสียหายคือคนตาย บ้านเมืองวอดวาย แล้วได้อะไร สรุปแล้วสิ่งที่ผ่านมาให้ลืมหรือไง หรือไม่ลืมแล้วมาแก้แค้นกันใหม่หรือไง มันก็ไม่จบ เพราะฉะนั้น 2 ปีที่เกิดขึ้นมันได้อะไร ณ วันนี้คุณมาก็มาลงเลือกตั้งกันหมด ทั้ง 500 คนก็มาเลือกตั้งพรรคนั้นใหม่ พรรคนี้ใหม่ก็แตกกันมาจากพรรคเดิมๆ นั่นแหละ ก็ยังมีพรรคใหญ่อยู่อีก 2 พรรคกลับเข้ามา ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยกับนักการเมือง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองคือบ้านเมืองย่อยยับ ก็อยากให้ทบทวนย้อนหลังกลับไปเพื่อคุณจะได้ตรัสรู้ไง ถ้าคุณไม่นึกย้อนกลับไปคุณจะไม่ตรัสรู้หรอก”
“ฉะนั้นมันไม่มีอะไรดีเลย แล้วสิ่งที่ทำไปทั้งหมดเหมือนกับหนึ่งลืม สองก็คือจ้องจับผิด อยากถามว่ายังไม่พอกันหรือไง แล้วคุณก็กลับมาเลือกตั้งกันอีก แต่คนที่เขาเดือดร้อนที่เสียหายจนบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้น ไม่มีใครไปสนใจอะไรเขาเลย แต่คุณทั้งหมด 500 คนก็กลับมาเลือกตั้งแล้วก็เฉลิมฉลองกัน แต่สิ่งที่ผ่านมาคนที่เสียหายเท่าไหร่ เขายังไม่ฟื้นเลย นี่ผมก็หมายถึงทุกสีนะ หมายถึงทุกคน เพราะผมไม่ได้คิดว่าทุกคนไม่ใช่คนไทย สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงินไม่ใช่คนไทย ทุกคนเป็นคนไทยหมด”
“แต่เรามาทำอย่างนี้แล้วเราได้ผลตอบแทนอะไร แล้วการเมืองก็เดินต่อไป ก็กลับมาเลือกตั้งกัน เป็นนายกฯ แต่คนที่อยู่ตลอดคือคนไทยไม่ใช่หรือ พวกเราประชาชนต้องอยู่ตลอด เราไม่มีตำแหน่งอะไร เราเป็นประชาชนวันยังค่ำ เราไม่มีตำแหน่ง ตำแหน่งเราคือประชาชน ทำตัวดีเท่านั้น คือพวกเราอยู่ถาวร ใครก็ถอดเราไม่ได้ นอกจากเราทำผิดเราก็ติดคุก แล้วอีกไม่กี่ปีเราก็ออกไป แต่มาถอดถอนเราอย่างพวกนักการเมืองไม่ได้”
“ผมว่าการเมืองไทยยังต้องใช้เวลาอีกเยอะ เพราะบ้านเรายังมีคนยากจนเยอะ แต่ในต่างประเทศที่เขาเจริญแล้วคนยากจนเขามี แต่ก็เป็นพวกที่ไม่มีบ้านอยู่อาศัยไปเลย พวกนั้นแก้ไม่ได้แล้ว ติดยา ติดเหล้าแก้ไม่ได้ แต่นอกจากนั้นทุกคนทำงานมีเงิน นั่นคือประเทศที่เขาเจริญแล้ว แต่อาจจะแยกอยู่กันไปเป็นชนชั้นกลาง ชนชั้นสูงกันไป ฉะนั้นเราต้องพัฒนาความยากจนของประชาชนขึ้นมาให้ทัดเทียมกัน อย่าให้มีช่องว่างมากระหว่างคนรวยกับคนจน ถ้าช่องว่างมากประชาธิปไตยไม่มีวันที่จะเจริญไปข้างหน้าได้ ผมก็อยากให้พัฒนาเรื่องความยากจนนี่เป็นอันดับแรก ถ้าเผื่อว่าคนเรามันไม่ต้องห่วงเรื่องอะไร ก็จะมีความคิดที่สมบูรณ์ในเรื่องความคิดการตัดสินใจ โดยที่ไม่ต้องพึ่งใคร”
“แต่ทุกวันนี้ยังจนอยู่ก็ต้องพึ่งคุณ อยากให้คุณได้เข้ามาช่วยพัฒนาบ้านเขาก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่ถ้าวันหนึ่งประชาชนลืมตาอ้าปากได้หมด อาจจะไม่ต้องถึงกับทัดเทียม แต่ความแตกต่างไม่มากเหมือนปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้ถูกคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งที่คุมการค้าหรือคุมธุรกิจจะเป็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งผมว่าคนจำนวนนี้มีไม่ถึงแสนคน แต่เป็นคนที่รวยมากแล้วห่างจากคนอีก 60 ล้านคนมาก แล้วคนพวกนี้กุมชะตาอยู่ มันก็เลยไม่เปิดโอกาสให้คนที่จนได้ขึ้นมาหายใจบ้าง เขาก็เลยต้องพึ่งนักการเมืองเพื่อจะไต่เต้าขึ้นมาให้ถึง ฉะนั้นหนึ่งเลยต้องปรับรากฐานของประชาชนก่อน อย่าเพิ่งไปติอะไร”
“อย่างเช่นว่าเขาจะขึ้นเงินเดือน 300 บาทเป็นค่าแรงต่อวัน ตรงนั้นก็ออกมาร้อง ตรงนี้ก็ออกมาร้อง แต่คุณยังไม่ได้ฟังแนวทางเขาเลยว่าจะแก้ไขตรงนี้ยังไง บางคนก็คิดไปแล้วว่างบประมาณของชาติก็หมดไปแล้วเป็นแสนล้าน ไหนจะ 30 บาทรักษาทุกโรคอีก แต่ที่เขาจะมาขึ้นตรงนี้เขาต้องหาทางสิ ก็กลัวกันว่าค่าครองชีพมันต้องสูงขึ้น มันต้องสูงแน่ถ้าขึ้นมา 300 บาท แล้วมันไม่ดีต่อประเทศเหรอ สินค้าการเกษตรก็จะได้ขายแพงขึ้นมา มันก็มีเงินมาหมุน บ้านเรากำลังเถียงกันเรื่องจะขึ้นอะไรยังไงกับ 300 บาทต่อวัน แต่ของเยอรมันนะขั้นต่ำสุดชั้นเลวสุดเลยนะสตาร์ทที่ต่อชั่วโมงไม่ใช่ต่อวันนะ คือ 6 ยูโร ซึ่งยูโรละ 44 บาทก็คูณเข้าไปก็เท่ากับ 240 บาทแล้วต่อชั่วโมง วันหนึ่งเอาแค่ 6 ชั่วโมง ก็ 1,440 บาทแล้วต่อวัน”
“ถ้าของเราขึ้นมา 300 บาทเขาก็ยังมีเงินเติมน้ำมัน 40 บาทต่อลิตรได้ เขาก็มีปัญญาเติม คนก็มีปัญญาขึ้นรถด่วน รถไฟฟ้าได้ แต่ปัจจุบันนี้คนจนขึ้นไม่ได้ คุณสร้างไว้สำหรับคนที่มีฐานะ แล้วคนไม่มีฐานะไม่ใช่คนไทยเหรอ เขาไม่มีสิทธิเหรอ ตอนนี้เรากำลังมองว่าจะทำอะไรเพื่อคนรวยทั้งนั้นเลย ให้เขาได้ลืมตาอ้าปากได้หายใจบ้างสิ วันหนึ่ง 300 บาท เพราะทุกวันนี้ของทุกอย่างมันก็ขึ้นรอเขาหมดอยู่แล้ว ให้เขากินแฮมเบอร์เกอร์ได้บ้างไหม ทุกวันนี้เขากินไม่ได้นะ ฉะนั้นคุณต้องปรับพื้นฐานคนระดับแรงงานขึ้นมาให้เท่ากับคนที่เป็นข้าราชการหรือใกล้ๆ กับคนที่อยู่ออฟฟิศได้ นั่นก็จะต่อยอดไปเรื่อยๆ ให้ถึงการพัฒนาในระบอบประชาธิปไตยในการพัฒนาบ้านเมืองในการมีวินัย”
“ทุกวันนี้เราขาดวินัย เราแย่งชิงกันเพราะว่าเราจน คนจนก็เลยต้องแย่งชิงกัน ถ้าเกิดว่าคนมีฐานะไม่ต้องถึงกับเสมอกันหรอก แค่พออยู่พอกินได้ วินัยจะกลับมาสู่ประเทศ ถ้าแก้ตรงนี้ได้ทุกอย่างจะดีขึ้น ผมไม่ใช่นักการเมือง แต่ผมชอบฟัง ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าเอาเงินแสนล้านมาละลายหรือนิสิต-นักศึกษาจบมาได้ 15,000 บาท มันควรจะได้ตั้งนานแล้ว”
“ต้องมองความจริง เอาความจริงมาพูด ไม่ใช่ว่าจะทำตรงนั้นตรงนี้ก็ทำไม่ได้ โดยที่อ้างว่าบริษัทจะตายต้องมาขึ้นค่าแรงงาน แต่ทุกวันนี้แรงงานของคุณเขาตายอยู่แล้วคุณเคยเห็นหรือเปล่า คุณมองตัวคุณอย่างเดียวว่าคุณตาย แต่คุณยังไม่ได้คิดเลยว่ามาตรการยังไง ก็นั่งคุยกันสิว่า ขึ้นราคาตรงนั้นตรงนี้ได้ไหมเพื่อให้คนงานเราอยู่ได้ แล้วคนงานคุณก็มีสิทธิซื้อสินค้าของตัวเอง เขาจะได้กินแฮมเบอร์เกอร์สักชิ้นหนึ่งว่ามันเป็นอย่างนี้เหรอ เห็นแต่ในทีวี มันต้องพัฒนาตรงนี้ขึ้นมา แล้วผมเชื่อว่าความสงบสุขมันจะเกิดขึ้นได้”
ที่มา: manager.co.th