“หนุ่ม กรรชัย” สวนกลับ“ฝ้าย ชัญญา” หลังจากที่อีกฝ่ายแถลงข่าวพร้อมทนายความส่วนตัวไปเมื่อวานนี้ (12 ก.ค 54) ซัดอีกฝ่ายมาพูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ควรพูดในชั้นศาลดีกว่า แจงเรื่องไอซ์มอนสเตอร์จะถูกสั่งปิดทั่วประเทศหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของลิขสิทธิ์ พร้อมขอให้แยกแยะเรื่องส่วนตัวและคดีความ ไม่เกี่ยวกัน
หลังจากที่ “ฝ้าย ชัญญา สุนทรวงษ์” หรือ “ชัญญา โชติญาณวงษ์” หุ้นส่วนบริษัทไอ ดูไอซ์ จำกัด พร้อมด้วย "นายสมบัติ ชัยเดชสุริยะ" ทนายความส่วนตัวได้เปิดแถลงข่าวขึ้นเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่(12 ก.ค)ที่ ร้านไอซ์มอนสเตอร์ สยามสแควร์ซอย11 กรณีที่ถูกพิธีกรชื่อดัง “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ยื่นฟ้องคดีอาญาในคดีความผิดพรบ.ห้างหุ้นส่วน หลังจากที่ทั้งคู่ได้หุ้นกันเปิดบริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด ขายน้ำแข็งเกล็ดหิมะในชื่อไอซ์ มอนสเตอร์ จากประเทศฟิลิปปินส์ แล้วเกิดมีปัญหาจนต้องมีการยื่นฟ้องร้องต่อศาล
ซึ่งในวันเดียวกันพิธีกร “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย”ก็ได้มาร่วมงานเปิดตัว ไวไวคัพ ณ โรงแรมโกเด้นทิวลิป ย่านพระราม9 ซึ่งเมื่อพิธีกรชื่อดังได้ทราบข่าวดังกล่าวจึงขอชี้แจงเรื่องที่คู่กรณีกล่าวอ้างทุกประเด็นว่า
“เรื่องที่ว่ามีทนายมาคุยกับผมว่าจะมีการถอดถอนออกจากการเป็นผู้ถือหุ้น ไม่เป็นความจริงครับ ผมไม่เคยรับทราบว่ามีทนายมาคุยกับผมว่าจะถอดถอนผมออกจากผู้ถือหุ้น และที่สำคัญที่สุดนะครับ มันดูจะเป็นเรื่องตลกเกินไป เพราะว่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องผู้ถือหุ้นผมได้เสนอไปกับศาลเรียบร้อยแล้ว ผมได้แถลงศาลเรียบร้อยว่าได้มีการถอดถอนชื่อผู้ถือหุ้นออกไป และศาลนั้นก็เห็นว่าเรื่องนี้มีมูลก็เลยประทับรับฟ้องไปเรียบร้อยแล้ว”
“เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อคุณมีหลักฐานและพยาน ทำไมคุณไม่เอาหลักฐานหรือพยานนั้นยืนไปตอนมีการไต่สวนมูลฟ้อง มาพูดแบบนี้ผมว่ามันไม่มีน้ำหนักพอ และจะได้ไม้ต้องถูกเป็นจำเลย ถูกมั้ยครับ อันนี้มันก็เป็นการยืนการได้อยู่แล้ว และจะมาอ้างว่าทนายหายไปมันไม่ใช่เรื่องไม่ใช่ประเด็นนะครับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ใครก็พูดได้ว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าผมเซ็นหรือเปล่า ลายเซ็นผมล่ะ ว่าผมเซ็นยินยอมหรือเปล่าแล้วค่อยมาว่ากัน แต่ผมก็ยังยืนยันนะครับ ว่าเรื่องนี้ศาลรับฟ้องหมดแล้ว ”
โดยในขณะเดียวกันทาง คู่กรณียืนยันว่าได้จ่ายเงินเดือนให้แล้ว เดือนละประมาณ5หมื่นบาท ถึง 1แสนบาท อีกทั้งยังผ่อนรถให้24งวด งวดละ 47,000บาท ซึ่งพิธีกรหนุ่มก็ได้แจงว่า
“เรื่องนี้มันต้องแยกออกจากกันนะครับ คือที่ผมทำงานอยู่ที่ไอซ์มอนสเตอร์ ผมนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน และประธานทำอะไรบ้าง ผมจะบอกเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นทางเซ็นทรัล เดอะมอลล์ ผมเป็นคนติดต่อก่อนตลอด และมีการให้ทางจำเลยทั้งสองคนเข้าไปทีหลัง ซึ่งอันนี้ผมมั่นใจว่าผมมีพยานเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นคนที่เซ็นทรัลหรือเดอะมอลล์ รวมถึงการโปรโมทให้แบรนด์ไอซ์มอนสเตอร์เป็นที่รู้จักในประเทศไทย ซึ่งผมคิดว่าทุกคนคงจะทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว”
“เพราะฉะนั้นถามว่าผมทำงานมั้ย ผมก็ทำงาน แน่นอนผมทำงานผมต้องมีเงินเดือน และในปี52 ผมได้เงินเดือน เดือนละ50,000 บาท และในปี52ผมก็ได้ไปซื้อรถคันนึง คือรถฮอนด้าแอคคอร์ด ผมไปจองรถเองจ่ายค่าดาวน์เอง แต่เงินผ่อนเดือนละสี่หมื่นว่าบาท ผมใช้เงินห้าหมื่นบาทที่ได้มาเป็นเงินผ่อน และให้ทางบริษัท ไอ ดู ไอซ์ เป็นคนจ่าย แต่ไม่ต้องเอาเงินเดือนนั้นมาให้ผม ที่จ่ายไปมันเป็นเงินเดือน แต่ทางกลับกันเงินปันผลล่ะ กำไร ที่เป็นรายปี คุณต้องมีเงินปันผลมาให้กับผู้ถือหุ้น”
คู่กรณีได้อ้างว่า ตอนนั้นไม่มีกำไรจึงไม่ได้มีเงินปันผล ซึ่งพิธีกรชื่อดังก็ตอกกลับว่า ที่คู่กรณีออกมาพูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ควรจะพูดในชั้นศาลดีกว่า
“มันก็เป็นแค่คำอ้าง อย่างน้องชายผมครั้งนึงเคยเป็นผู้ถือหุ้น ก็ไม่ได้รับเงินปันผลขนาดจดหมายประชุมผู้ถือหุ้นยังไม่เคยได้เลยครับ ซึ่งผมก็มีพยานที่เป็นผู้ถือหุ้นมาเป็นพยานได้เหมือนกันชื่อชัชวีร์ อย่างที่ผมเคยบอกไป เรื่องพวกนี้ผมแถลงศาลหมดแล้ว และศาลก็รับฟ้องเรียบร้อย และถามว่าสิ่งที่มาพูดวันนี้มันมีประโยชน์ตรงไหน ผมบอกได้ว่า มันไม่มีหรอกครับ คุณควรเอาเรื่องพวกนี้ไปพูดที่ศาลดีกว่า”
“เรื่องนี้ผมไม่ต้องการอะไร แต่ผมแค่ต้องการสิทธิ์ของผม ส่วนของผมเท่านั้นเอง คือผมขอนึดนึง ถ้าเอาเงินไปลงทุนอะไรก็ต้องหวังกำไรถูกมั้ยครับ มันเป็นการลงทุนแต่ผมก็ขอแค่ส่วนที่ผมควรจะได้ ผมไม่ได้ขอมากไปกว่าส่วนที่ผมควรจะได้”
ยันที่อีกฝ่ายชี้แจงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อชีวิตต้องหย่าร้างกับสามี ยันไม่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องบอกเรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว และตนไม่ได้เป็นคนสั่งปิดไอซ์มอนสเตอร์
“และผมคิดว่าการที่เขาหย่าร้างกันไม่เกี่ยวข้องกันผม ผมฟ้องทั้งสองท่านในกรณีผิด พ.ร.บ.หุ้นส่วน และถ้าผมย้อนกลับไปว่า ตอนนี้ผมไม่ได้ทำรายการศึกน้ำผึ้งพระจันทร์แล้ว เป็นเพราะมีการฟ้องร้องกันขึ้นมันเกี่ยวมั้ยครับ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยว ชีวิตส่วนตัวก็คือส่วนตัว”
“เรื่องบอกว่าผมบอกทุกสาขาให้บอกว่าหยุดกิจการนั้น ต้องบอกอย่างนี้นะครับว่า ผมไม่ได้บอกให้หยุด แต่เจ้าของสิทธิ์ทางฟิลิปปินส์เป็นคนบอกเพราะคดีมันแยกกัน และผมไม่ได้ชวนทางฟิลิปปินส์ให้มาจัดการเรื่องนี้ แต่ทางโน้นเขาอ่านข่าวทั้งหมด และรู้สึกว่ามันหมดสัญญาตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว แต่ทำไมถึงไม่มีการติดต่อมา พอเขาติดต่อไปก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ เพราะเขาเอาอีเมล์มาให้ผมดูเลยนะ และเขาก็เลยขอมาแถลงข่าวร่วมกับผม”
บอกเป็นไปไม่ได้ที่ทางฟิลิปปินส์จะขายสูตรขาด ซัดไม่งั้นแมคโดนัลด์ คงเป็นของคนไทยไปแล้ว
“ที่เขาบอกไม่ได้รับการติดต่อจากทางฟิลิปปินส์ผมไม่รู้ แต่ผมได้เห็นอีเมล์หมดแล้ว และทางโน้นเขาก็ยืนยันว่ายังไม่มีการขอยกเลิกสิทธิ์จากเขา เรื่องที่จะไปซื้อสูตรมาแบบขาดมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะในสัญญาทางฟิลิปปินส์ผมได้อ่านและเห็นหมดแล้ว ว่าเขาก็มีสิทธิ์เต็มที่และการที่จะไปบอกว่า ไปจดชื่อว่ามอนสเตอร์ในเมืองไทยผมก็ต้องเรียนแบบนี้ว่า คุณใช้ช่องว่างทางกฎหมายแบบนั้น ผมถามว่า ณ วันนี้บริษัทแอปเปิ้ลหรือแมคโดนัลด์ คงเป็นของคนไทยไปแล้วมั้งครับ”
“ส่วนเรื่องตัวมาสคอร์ตที่เขาบอกไม่ได้ลอก ไม่ได้ลอกก็ไม่ได้ลอกครับก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ผมคิดว่าตามขอกฎหมายมันเป็นการสร้างแบรนด์ขึ้นมา โดยใช้ชื่อภายใต้ชื่อไอซ์มอนสเตอร์ และไอ้แบรนด์ตัวนั้นก็เปลี่ยนจากรูปตัวเท้าหมีมาเป็นตุ๊กตุ่นตัวนั้น แต่มันก็เป็นเรื่องของทางฟิลิปปินส์ที่จะต้องจัดการ เพราะคุณใช้ชื่อเขา ในตัวโลโก้เขามันได้หรือไม่ และเรื่องนี้ผมไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของเขาสองคน แต่ถ้าถามว่าผมเคยเห็นตัวนี้มั้ย ผมเคยเห็นแต่เห็นในนามของเจ้าของรอยเท้าไอซ์มอนสเตอร์ ว่าได้ตุ๊กตุ่นตัวนั้นคือเจ้าของรอยเท้าไอซ์มอนสเตอร์ แต่ผมไม่รู้ว่า ได้ตุ๊กตุ่นตัวนั้นมันกลายมาเป็นโลโก้ของไอซ์มอนสเตอร์ได้อย่างไร อันนั้นผมไม่ทราบ แต่ผมทราบแค่ว่า เจ้าของรอยเท้านั้นมีตัวตนนะ ก็คือไอ้ตุ๊กตุ่นตัวนั้นแหละ”
เผยจุดจบของเรื่องนี้ตนต้องได้รับในสิ่งที่ควรจะได้ตามสิทธิ์ ยันไม่คิดจะนำไอซ์มอนสเตอร์มาเป็นแบรนด์ของตัวเอง
“จุดจบสำหรับเรื่องนี้มันต้องแบ่งเป็นสองส่วนต้องตอบตามความเป็นจริงนะครับ ส่วนหนึ่งมันมาจากทางตัวผมเป็นคนโปรโมทแบรนด์นี้จนคนรู้จัก สองมันเป็นทางฝั่งเขาที่ทำแล้วมันดีออกมาอร่อย เรื่องแบบนี้ก็ต้องยอมรับคือสองฝ่ายมันร่วมกันเป็นการเดินร่วมกันมา แต่มาวันนึงเราก็ต้องการเรียกร้องในส่วนของเราที่ควรจะได้กับการที่เราลงทุนไป ถึงแม้ว่าจะเป็นเงินสองแสนบาทอย่างที่เขาพูดมาก็จริงเพราะทุกคน 7คนรวมเงินคนละสองแสนบาท ถือหุ้นคนละ 15% เท่ากันหมด”
“ส่วนตัวผมเองมีเพิ่มขึ้นกับการเซ็นสัญญา กับบริษัทแคนนอนประเทศไทย ซึ่งผมไปถ่ายแบบเพื่อที่จะโปรโมทสินค้าให้กันแคนนอน และผมก็ไม่รับเงินสองล้านกว่าบาท แต่ผมรับเป็นกล้องวงจรปิด มาติดตามสาขาต่างๆของไอซ์มอนสเตอร์ นั้นก็ถือว่าเป็นการลงทุนของผมอย่างนึง เพราะฉะนั้นมันมาถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางร่วมกัน ผมก็แค่ของสิ่งที่ผมควรจะได้คืน และผมไม่ได้จะเอาแบรนด์นี้มาเป็นของตัวเอง”
ยันไม่ทราบว่าจะต้องปิดแฟรนไชส์ไอซ์มอนสเตอร์ทุกสาขาหรือไม่ เพราะต้องขึ้นอยู่ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริง เผยทางเจ้าของลิขสิทธิ์ได้โทร.หา บอกจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
“เรื่องแฟรนไชส์ปิดทั้งหมดหรือไม่ทั้งหมดผมไม่ทราบ แต่ผมก็ยืนยัน ณ ตอนนี้ได้นะครับ เพราะว่าก่อนที่ผมจะมาคุยก็ผู้สื่อข่าวทางฟิลิปปินส์โทร.มาหาผม และก็บอกว่าฟ้องแน่นอน แต่ผมเป็นห่วงแฟรนไชส์และก็อย่าไปเสี่ยงดีกว่าเพราะว่ากฎหมายระหว่างประเทศมันก็มี และในสัญญาก็บอกอยู่แล้วว่า ห้ามทำซ้ำลอกเลียนแบบ หรือว่าห้ามทำสินค้าแบบเดียวกัน หลังจากผู้รับสิทธิ์ หมายถึงว่าหมดสัญญาไปแล้ว แต่ผมไม่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องเรื่องแบรนด์ ผมว่าควรที่จะต้องดูให้ดีๆ และพยายามศึกษาข้อมูลกฎหมายให้ดีๆก่อนที่จะเชื่อทางใดทางนึงให้เชื่อตัวคุณเอง ศึกษากฎหมายด้วยตัวคุณเองแล้วคุณจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
เจ้าตัวโต้หลังจากที่คู่กรณีก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะเอาเรื่องกันให้ถึงตายกันไปข้างเลยหรืออย่างไร ไหนว่าเป็นพี่น้องกัน
“ผมต้องเรียนไปทางคุณฝ้ายนะครับ ผมเองได้มีการแถลงข่าวแล้วครั้งนึงทางช่อง9 ผมยืนยันไปแล้วนะครับ ว่าไม่ได้ชวนคนจากทางฟิลิปปินส์มา คือเขาเห็นว่าเรามีเรื่องกันอยู่ เขาไม่ได้โง่ เขาทำการค้าระหว่างประเทศ เขาเช็คทางอินเตอร์เน็ตได้ เขาเห็นว่าทางไอซ์มอนสเตอร์มีปัญหาอยู่ เขาก็รีเช็คว่ามันคืออะไร ประกอบกับว่าตอนเดือนมีนาคมสัญญามันได้ขาดลง ทางเขาก็ติดต่อมา และทางคุณก็ไม่ติดต่อกลับเขาไป จนกระทั้งเขาติดต่อมาทางผม ผมก็เลยต้องเล่าว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร เขาก็เลยขอบินมาแถลงข่าวด้วย และวันนั้นผมก็ยังบอกว่าแถลงร่วมกันนะ แต่การฟ้องคนละส่วนกัน แต่ถามว่าผมให้โอกาสมาเจรจามั้ย ผมให้โอกาสเพราะยังไงก็คือน้อง แต่ถ้าทางฝ้ายตั้งใจเองที่จะดำเนินเรื่องให้ถึงที่สุดผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ”
ที่มา: manager.co.th