สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ประณามมือมืดลอบทำร้าย “ต่อพงษ์” ใช้วิธีสกปรกคุกคามสื่อ เตรียมส่งทีมตรวจสอบ ชี้ ควรสู้กันทางกฎหมาย ด้าน “อัญชะลี” เชื่อ สาเหตุที่ถูกดักตีหัว เพราะเรื่องงานสื่อมวลชนที่ทำ เผย ตนเคยถูกข่มขู่คุกคามสารพัดทั้งคนในและนอกเครื่องแบบ
จากรณีที่ “ต่อพงษ์ เศวตามร์” บรรณาธิการข่าวบันเทิง หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวัน และ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ถูกชายนิรนามใช้เหล็กแป๊บฟาดที่ศีรษะจนแตก ระหว่างเดินทางมาทำงานยังสำนักงานบ้านพระอาทิตย์ เมื่อช่วงสายของวันนี้ (16 ก.พ.) ซึ่งเจ้าตัวได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สน.ชนะสงคราม ไปแล้วนั้น
ในส่วนท่าทีของทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกสมาคมนักข่าวฯ “นาตยา เชษฐโชติรส” ได้รับรู้เรื่องราวดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นจะให้เจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร และถ้าหากพบว่าเป็นเรื่องของการคุกคามสื่อจริงๆ ก็อาจจะต้องออกแถลงการณ์ประณาม
“ทางเราเพิ่งตั้งศูนย์ขึ้นมาตรวจสอบ ติดตามเรื่องนักข่าวถูกคุกคามอยู่แล้ว อย่างกรณีของคุณต่อพงษ์ ก็อยู่ในข่ายถูกคุกคาม โดยกลุ่มคนที่ไม่ทราบชื่อ เราก็คงจะมีการติดต่อเข้าไปสอบถามข้อมูลกับทางคุณต่อพงษ์ก่อน ว่า อยากให้ทางเราช่วยเหลืออะไรหรือไม่ ซึ่งก็หวังว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็จะสามารถจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้ในที่สุด”
“คือ ทางเรามีความเป็นห่วงนักข่าวที่เขาทำตามหน้าที่ของตัวเอง แล้วไปขัดผลประโยชน์กับใครเข้า แล้วใช้วิธีสกปรกเล่นงานนักข่าว ซึ่งจริงๆ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเองทางกฎหมายอยู่แล้ว สามารถตอบโต้กันทางกฎหมายได้ ถ้าหากคิดว่าสื่อนั้นนำเสนอข่าวที่ไม่จริง ไม่น่าจะใช้ความรุนแรง ใช้วิธีศาลเตี้ยแบบนี้ ทางเราคัดค้านการใช้วิธีการแบบนี้อยู่แล้ว”
“จุดยืนเรื่องการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพเราก็ยึดมั่นมาตลอด รวมไปถึงการดูแลเรื่องสวัสดิการ การรักษาพยาบาล รวมไปถึงการให้ทุนการศึกษาแก่บุตรนักข่าว ซึ่งเราไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งสิ้นในการที่จะไปตรวจสอบ หรือเข้าไปควบคุมการทำงานของสื่อ ให้ต้องเปลี่ยนจุดยืน”
“เช่นเดียวกัน ใครที่คิดว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการนำเสนอข่าว ก็สามารถปกป้องสิทธิของตนเองได้ ด้วยการฟ้องร้องดำเนินคดีกันตามกฎหมายได้ แต่เราไม่มีอำนาจควบคุมตรงนั้น การทำงานขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ และจรรยาบรรณของสื่อนั้นๆ ซึ่งถ้าสื่อทำความเสียหายให้กับใคร เขาก็ต้องรับผิดชอบเองทางกฎหมาย แต่ไม่มีสิทธิเข้าไปควบคุมการทำงานค่ะ”
ด้าน น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก ซึ่งเป็นดีเจรายการวิทยุ “นักรบมือตบ” ทางคลื่นเอฟเอ็ม 97.75 ร่วมกับ นายต่อพงษ์ เศวตามร์ เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวตนมองว่า สาเหตุของการลอบทำร้ายเพื่อนดีเจในครั้งนี้ น่าจะมาจากเรื่องของการทำงานล้วนๆ และถือเป็นการคุกคามการทำงานของสื่อมวลชนอย่างหนึ่ง
“เท่าที่ทำงานด้วยกันมาไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องส่วนตัวนะ น่าจะเป็นเรื่องงานมากกว่า อาจจะเป็นพวกที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์แล้วรับไม่ได้ อ่านแล้วฟังแล้วมันไปกระทบจิตใจ-ความรู้สึก หรืออีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นพวกที่เสียผลประโยชน์ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาคนทำงานสื่อมักจะต้องเจอกับเรื่องแบบนี้มาโดยตลอด เนื่องจากอาชีพของเรานั้นเป็นอาชีพที่ต้องขุดคุ้ย มีการวิพากษ์วิจารณ์”
ก่อนบอกที่ผ่านมาตนก็เคยถูกคุกคาม ข่มขู่มาแล้วสารพัดหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถตาม เฝ้าหน้าบ้าน โทร.มาขู่ แต่ก็ยังไม่เคยถึงขนาดที่จะเข้ามาทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด เพียงแต่ทำให้รู้สึกเกรงกลัว
“เราเคยโดนตอนไปทำวิทยุชมชุนในยุครัฐบาลคุณทักษิณ คือ ตอนนั้นมันยังไม่เคยมีปรากฏการณ์ของรายการวิทยุที่มันจะไปโจมตีโจมตีวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลแต่อย่างใด พอทำๆ ไปก็มีทั้งคนในเครื่องแบบก็มี นอกเครื่องแบบก็มี เข้ามาคุกคาม ข่มขู่”
“คือ เขาอาจจะไม่ได้เข้ามากับเราตรงๆ แต่ก็มีมาทั้งแบบขับรถตามเรา ให้เราเห็น หรือว่ามาจอดรถที่หน้าปากซอย โทรศัพท์มาข่มขู่ ทำตัวแบบจิ๊กโก๋ แล้วก็เคยมีกระทั่งคนในเครื่องแบบเข้ามาขอค้นที่ทำงานโดยที่ไม่มีหมาย อย่างนี้ก็เคยเจอ”
“โดนมาทุกรูปแบบ แต่เราว่าครั้งนี้มันทุเรศนะ เพราะมันเหมือนกับหมาลอบกัดน่ะ แล้วมันก็ดูอุกอาจมากนะ กลางวันแสกๆ ในที่ชุมชน แล้วก็มีการพกอาวุธ จำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนที่ทำข่าวอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ ก็มีพี่นักข่าวคนหนึ่งเคยถูกลอบดักตีหัวในกระทรวงมาแล้ว ตีกันในกระทรวงเลยนะ”
“สาเหตุก็มาจากการที่เขาอาจจะไปทำข่าวขุดคุ้ยเรื่องทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ มันเป็นอย่างไร ใครทำ ใครจ้างใครไปทำ เพราะทุกวันนี้ก็ยังจับใครไม่ได้เลยนะ”
ก่อนฝากไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ตามจับตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้
“คือ ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้มันจะยังมีอยู่ในสังคมไทยแล้วนะ แต่ก็มีจนได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่เองจะต้องเอาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ แล้วก็ต้องคาดคั้นให้ได้ว่าทำไปเพราะอะไร มีใครจ้างมาหรือเปล่า อย่าปล่อยให้เรื่องมันเงียบหายไปเพราะรู้สึกหมั่นไส้สื่ออยู่ เพราะเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดกับสื่อหรอก ใครก็ตาม บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะ ถ้าทำกันอย่างนี้สังคมไทยมันจะอยู่กันได้อย่างไร”