โซนี่ ประเทศไทย ส่งกล้อง NEX-C3 ลงสนามกล้องไร้กระจกสะท้อนภาพ (Mirrorless) ทดแทนรุ่น NEX-3 เพิ่มฟังก์ชันปรับแต่งรูปและอินเตอร์เฟสแบบใหม่ ใช้งานง่าย พร้อมเปิดขาย 2 รุ่น ได้แก่ NEX-C3K ที่มาพร้อมเลนส์ระยะ 18-55 มิลลิเมตร ในราคา 21,990 บาท และ NEX-C3D ที่มาพร้อมเลนส์ระยะ 18-55 กับ 16 f2.8 มิลลิเมตร ในราคา 24,990 บาท พร้อมเปิดตัวเลนส์ตระกูล E-Mount มาโครรุ่นใหม่ที่ระยะ 30 มิลลิเมตร F3.5 และแฟลชตัวใหม่สำหรับกล้องตระกูล NEX ในรุ่น HVL-F20S ที่มาพร้อมความสามารถในการ Bounce แฟลชขึ้นเพดานได้เหมือนแฟลชตัวใหญ่ (แฟลชจะพร้อมวางจำหน่ายในช่วงปลายปี)
ซึ่งสำหรับวันนี้ทางทีมงานผู้จัดการไซเบอร์ได้มีโอกาสเข้ารับการทดสอบกล้อง Sony NEX-C3 ก็เลยถือโอกาสรีวิวและโชว์ประสิทธิภาพของกล้องตระกูลนี้ให้พ่อแม่พี่น้องได้รับชมกันครับ
โดยในด้านรูปลักษณ์ของตัวกล้องจะเห็นว่ามีการปรับเปลี่นขนาดให้จับถนัดมือกว่ารุ่น NEX-3 พร้อมลดน้ำหนักกล้องลงเหลือ 225 กรัมจากรุ่น NEX-3 ที่ 239 กรัม อีกทั้งในส่วนของวัสดุที่ใช้ผลิตจะมีการอัปเกรดในส่วนด้านบนให้มีความแข็งแรงมากกว่ารุ่นก่อนหน้า ส่วนบอดี้ยังเป็น Polycarbonate เฉกเช่นเดียวกับ NEX-3 แต่มีการวางลายและการออกแบบใหม่ ทำให้จับกระชับมือมากกว่ารุ่นก่อน อีกทั้งในเรื่องการจัดสรรพลังงานในตัวที่ทางโซนี่เครมว่าจะทำให้แบตเตอรีอึดขึ้นอีก 20%
ในส่วนของจอภาพจะมีขนาด 3 นิ้วแบบ XtraFine TruBlack LCD ที่สามารถปรับขึ้น-ลงได้ และในส่วนด้านล่างของตัวกล้องจะเห็นว่าตำแหน่งของช่องใส่การ์ดหน่วยความจำที่รองรับตั้งแต่ SD SDHC SDXC MS-PRO Duo จะถูกแยกออกมาให้ผู้ใช้สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น
มาที่ด้านของเซนเซอร์รับภาพจะยังคงเป็นตัวเดียวกับ NEX-3 และ NEX-5 กล่าวคือเซนเซอร์ที่ใช้จะเป็น Exmor APS HD CMOS ขนาด 23.4x15.6 มิลลิเมตร หรือเทียบเท่ากับกล้อง DSLR รุ่นกลางๆ อีกทั้งเมาท์เลนส์จะยังคงเป็นตระกูล E-Mount ที่สามารถใส่เลนส์ของกล้องตระกูล Alpha (A mount) ได้โดยผ่าน Adapter LA-EA1
อีกทั้งในวันนี้ทางโซนี่ยังได้นำเลนส์ E-Mount รุ่นใหม่อย่าง Macro 30 mm f3.5 ที่จะเริ่มวางขายเร็วๆ นี้มาให้ทีมงานได้ทดสอบกันอีกด้วย โดยตัวเลนส์ดังกล่าวจะถูกออกแบบมาให้ใช้กับ E-Mount บนกล้องตระกูล NEX ทุกรุ่น โดยค่ารูรับแสงของเลนส์ต่ำสุดอยู่ที่ f3.5 สูงสุดที่ f22 และโฟกัสใกล้สุดอยู่ที่ 3.74
ในส่วนของชิ้นเลนส์จะประกอบด้วย aspherical 3 ชิ้น และ ED Glass 1 ชิ้น และอัตราขยายเป็นแบบ 1:1
Specifications and Special Features ในส่วนของสเปกตัวกล้องในส่วนของความละเอียดจะมีการอัปเกรดความละเอียดจาก 14.2 ล้านพิกเซลเป็น 16.2 ล้านพิกเซล (4,912x3,264 พิกเซล) ในส่วนของวิดีโอจะถ่ายในรูปแบบ MP4 HD 720p (1,280x720 พิกเซล) และความละเอียด 640x480 พิกเซลที่ความเร็วเฟรม 29.97 เฟรมต่อวินาที
สำหรับ ISO จะมีให้เลือกตั้งแต่ 200-12,800 และในส่วนของหน่วยประมวลผลภาพจะยังคงใช้ BIONZ เหมือนรุ่นก่อน และสุดท้ายในส่วนการถ่ายภาพต่อเนื่องจะมีความเร็วที่ 2.5 เฟรมต่อวินาที ส่วนโหมด Speed Priority จะอยู่ที่ 5.5 เฟรมต่อวินาที
นอกจากนั้นส่วนที่เปลี่ยนแปลงสำคัญอีกหนึ่งส่วนสำหรับกล้อง NEX-C3 ก็คือซอฟท์แวร์ภายในที่ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
โดยการเปลี่ยนแปลงในส่วนแรกจะอยู่ที่การเพิ่มระบบ Peaking Level (ใน NEX-3 และ 5 รุ่นก่อนหน้าสามารถใช้ระบบดังกล่าวได้ด้วยการอัปเกรดเฟริมแวร์ รุ่นที่ 4 จากเว็บโซนี่) ที่ช่วยในการโฟกัสภาพสำหรับบรรดาเลนส์มือหมุน โดยระบบสามารถเข้าไปเปิดได้ในหน้าเมนู Setup
ซึ่งการทำงานของ Peaking Level จะใช้จุดสี (เช่นในภาพตัวอย่างด้านบนจะเป็นจุดสีแดงหลายจุด) เป็นตัวบอกว่าตอนนี้ผู้ใช้หมุนเลนส์เข้าโฟกัสตำแหน่งใดบ้าง ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องคอยเข้าโหมด MF Assistant ให้เสียเวลา
นอกจากนั้นก็ยังมีโหมด Picture Effect ที่เพิ่มเข้ามาใน Shoot Mode ที่ผู้ใช้สามารถเลือกเอ็ฟเฟ็กภาพแปลกตาต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็น Toy ซึ่งเป็นการใช้เอ็ฟเฟ็กแบบโลโม่ Patial Color (R/G/B/Y) ที่เป็นโหมดดูดสีให้เหลือเฉพาะสีที่เราต้องการนอกนั้นจะเป็นสีขาว-ดำ หรือ Retro ที่เป็นเอ็ฟเฟ็กแบบวินเทจย้อนยุค
และสุดท้ายสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะ NEX-C3 คงอยู่ที่ฟังก์ชัน Photo Creativity ที่อยู่ในโหมด iAuto โดยฟังก์ชันดังกล่าวจะทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายตามความต้องการได้ โดยการเพิ่มเอ็ฟเฟ็กภาพลงไปได้หลายเลเยอร์ เช่น ผู้ใช้ต้องการปรับโทนสีแบบอุ่น แต่อยากใช้ Soft Skin ด้วย ผู้ใช้ก็สามารถเพิ่มเอ็ฟเฟ็กทั้งหมดลงไปได้ด้วยการกดเพิ่มเอ็ฟเฟ็กไปเรื่อยๆ จนพอใจ
ทดสอบประสิทธิภาพ ภาพแรกขอทดสอบด้วยเลนส์พื้นฐาน 18-55 มม. โดยภาพนี้ใช้โหมด iAuto กดถ่ายๆ
จากนั้นทีมงานลองเปลี่ยนไปใช้เลนส์ 16f2.8 ใส่ Adapter Fisheye ครอบอีกครั้งพร้อมปรับ Shoot Mode เป็น Program และชดเชยแสง +1 step แต่ภาพนี้โฟกัสพลาดเล็กน้อย เนื่องจากแสงสว่างค่อนข้างมาก และจอ NEX-C3 ก็ไม่สามารถสู้แสงได้ดีนัก
และสุดท้ายทีมงานขอจบภาพน้องคนนี้ด้วยเลนส์ตระกูลอัลฟ่า 50mm f1.4 ผ่าน Adapter LA-EA1 โดยตั้งค่า f1.4 ปรับทุกฟังก์ชันเป็น Manual พร้อมเปิด Peaking Level ที่ High เพื่อช่วยโฟกัสและใช้มือหมุน
หลังจากนั้นทีมงานขอทดสอบ Peaking Level ต่อในที่แสงสว่างน้อยด้วยเลนส์ 50mm f1.4 ตัวเดิม เพราะต้องการทดสอบ Noise ที่เกิดจากการดัน ISO ภาพนี้จึงตั้ง ISO ไปแตะ 800 และใช้ระบบมือหมุนหาโฟกัสผ่าน Peaking Level
คราวนี้ลองทดสอบเอ็ฟเฟ็กดูดสี Patial Color พบว่าทำได้ดี เพียงแต่เรื่องการตัดสีจะได้เฉพาะสีที่ตรงกับแม่สีจริงๆ ที่เลือกเท่านั้น ถ้าเกิดแม่สีเหล่านั้นเกิดมีความผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย ระบบจะไม่ทำการตัดสีให้ ซึ่งวิธีแก้คือให้ตั้ง White Balance ใหม่ ก็อาจช่วยได้
มาที่การทดสอบสุดท้ายกับการเล่นเอ็ฟเฟ็กภาพอย่าง Toy และ Pop ที่ยอมรับว่าบางเอ็ฟเฟ็กทำได้ค่อนข้างดี เหมาะและช่วยลดเวลาแก่พวกชอบแต่งภาพมาก
ทดสอบ SEL30M35 SEL30M35 คือรหัสเลนส์ Macro ระยะ 30 f3.5 ที่ได้กล่าวเปิดตัวไปข้างต้นแล้ว ซึ่งจากการทดสอบใช้งานคร่าวๆ ในเวลาค่อนข้างจำกัด พบว่าคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ถึงแม้ F-stop ที่ให้มาอาจไม่ต่ำมาก แต่ด้วยอัตราส่วนขยายแบบ 1:1 และราคาที่ทางโซนี่ตั้งไว้ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท แถมเป็น E-Mount เชื่อมต่อกับกล้องตระกูล NEX ได้แล้วก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียว
สรุป
สำหรับกล้องไร้กระจกสะท้อนภาพ NEX-C3 ตัวใหม่ที่ทางโซนี่ต้องการคลอดออกมาแทนที่ NEX-3 รุ่นก่อนหน้า อย่างแรกต้องยอมรับว่าการที่ทำให้ NEX-C3 มีความเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างการเพิ่มฟังก์ชัน Photo Creativity รวมถึงการออกแบบที่เน้นแก้ข้อพกพร่องของ NEX-3 เป็นหลักก็ถือเป็นเรื่องที่ดี และทำให้ C3 มีความเป็นตัวตนชัดเจนมากกว่าตอนเปิดตัว NEX-5 และ NEX-3 อีกทั้งในเรื่องของราคาที่ตั้งไว้ไม่สูงจนเกินเอื้อมเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่พูดได้เต็มปากว่า "เป็น NEX-5 ลดสเปกถ่ายวิดีโอ Full HD เท่านั้น"
แต่ทั้งนี้สำหรับกล้อง NEX-C3 ก็อาจมีข้อติเล็กน้อยอยู่บ้าง เช่น เรื่องจอ LCD ที่อาจยังสู้แสงอาทิตย์ได้ไม่ดี และอีกส่วนที่สำคัญคือเรื่องของการสั่งงานผ่าน Click Wheel ที่ถึงแม้ใน NEX-C3 จะมีการปรับปรุงซอฟท์แวร์ให้ใช้งานง่ายขึ้น แต่สำหรับผู้ใช้ที่เป็นมือใหม่จริงๆ ก็ยังคงรู้สึกว่าใช้งานยากและต้องอาศัยเวลาศึกษา ทำความเคยชินเหมือนรุ่นก่อนหน้าอยู่ดี
Company Relate Link :
Sony
ที่มา: manager.co.th