Author Topic: “หนุ่ม” ควงเจ้าของลิขสิทธิ์ “ไอซ์มอนสเตอร์” ตั้งโต๊ะแถลงประกาศปิดเฟรนไชส์ทั่วประเทศ  (Read 956 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


เจ้าของ “ไอซ์มอนสเตอร์” บินตรงจากฟิลิปปินส์ตั้งโต๊ะแถลง พร้อม “หนุ่ม กรรชัย” ประกาศยุติการทำใช้เครื่องหมายการค้าในไทยใครฝ่าฝืนเจอฟ้องแน่ และจะดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับ “นายอธิป”และบริษัทไอ ดู ไอซ์ โดยเร็ว ด้าน “หนุ่ม กรรชัย” เผยศาลประทับรับฟ้องคดีอาญาเรียบร้อย พร้อมเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวน 10 ล้าน ลั่นเห็นแก่ความเป็นญาติยินดีหากอีกฝ่ายขอเคลียร์นอกรอบ
       
       หลังจากเดินเรื่องยื่นฟ้องร้องต่อศาลเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “นางชัญญา โชติญาณวงษ์” จำเลยที่ 1 และ “นายอธิป โชติญาณวงษ์” จำเลยที่ 2 ในคดีความผิด พรบ.ห้างหุ้นส่วนจำกัด หลังจากทั้งสองฝ่ายได้หุ้นกันเปิด "บริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด" ขายน้ำแข็งเกล็ดหิมะในชื่อ “ไอซ์มอนสเตอร์” จากประเทศฟิลิปปินส์ ล่าสุด “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ก็ได้นัดสื่อมวลชนเพื่อแถลงชี้แจงถึงความคืบหน้าของคดี รวมไปถึงยังได้พาเจ้าของลิขสิทธิ์เฟรนไชส์ไอซ์มอนสเตอร์ “MR. CHADWICK RAGAS” กรรมการผู้จัดการบริษัท ไอซ์มอนสเตอร์จำกัด เจ้าของเครื่องหมายการค้าไอซ์มอนสเตอร์จากประเทศฟิลิปปินส์และ “MR.GERAD U TAN”มาร่วมตั้งโต๊ะแถลงด้วย โดยเจ้าของลิขสิทธิ์ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ตนอัดอั้นจนต้องขอแถลงข่าวร่วมกับพิธีกรชื่อดังว่า
       
       “ผมกรรมการผู้จัดการของบริษัทไอซ์มอนเตอร์ เจ้าของเครื่องหมายไอซ์มอนสเตอร์ วันนี้ผมขอแจ้งให้สื่อมวลชนชาวไทยทราบว่าในปี 2549 บริษัทของผมได้มอบสิทธิให้เครื่องหมายการค้าไอซ์มอนสเตอร์กับนาย อธิป โชติญาณวงษ์ ซึ่งต่อมาได้เปิดบริษัทชื่อไอ ดู ไอซ์ จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจน้ำแข็งใสในประเทศไทย โดยสัญญาดังกล่าวได้สิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2554ที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าหลังเดือนมีนาคม 2554จนถึงปัจจุบัน นายอธิปและบริษัทไอ ดู ไอซ์ ไม่มีสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายไอซ์มอนสเตอร์ในประเทศไทยอีกต่อไป”
       
       “เท่าที่ผมทราบปัจจุบันนายอธิปและบริษัทดังกล่าวยังคงใช้เครื่องหมายไอซ์มอนสเตอร์เรื่อยมาโดยไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าภายใต้กฎหมายไทยและกฎหมายฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ปี 2552 คุณอธิปไม่ได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ในอัตรา 5 เปอร์เซ็นต์ โดยบอกว่ากิจการขาดทุน แต่นายอธิปได้เก็บค่าลิขสิทธิ์ 7 เปอร์เซ็นต์จากเฟรนไชส์ทั่วประเทศ แต่ไม่ได้ส่งเงินดังกล่าวให้กับทางต้นบริษัท แถมยังมีการเปลี่ยนแปลงอักษรและโลโก้ต้นแบบซึ่งเป็นการผิดสัญญา และได้รายงานว่าประเทศไทยเปิดไอซ์มอนสเตอร์ 11 สาขา แต่ในความเป็นจริงแล้วบริษัทได้เปิดมากกว่า 40 สาขาทั่วประเทศ โดยที่ผมไม่ได้รับทราบมาก่อนซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้ขาดทุนตามที่กล่าวมา แต่ตรงกันข้ามกลับได้รับผมตอบแทนที่ดี”
       
       “ผมจึงอยากประกาศให้คนไทยได้รับทราบว่าผู้ใช้เฟรนไชส์และบริษัทที่อยู่ในความดูแลที่ยังคงใช้เครื่องหมายการค้าของไอซ์มอนสเตอร์ในประเทศไทยต้องยุติและเลิกใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าว มิฉะนั้นผมเองก็จะต้องดำเนินการทั้งทางกฏหมายทั้งทางแพ่งและอาญาหากมีผู้ฝ่าฝืน ผมได้ปรึกษากับทนายของผมเพื่อจะดำเนินการฟ้องร้อง ดำเนินคดีกับนายอธิปและบริษัทไอ ดู ไอซ์โดยเร็วที่สุด ถ้าผู้ใช้เฟรนไชส์ในประเทศไทยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้เครื่องหมายของผมโปรดติดต่อที่ผม ผมเองได้พยายามคิดต่อเพื่อขอเจรจากับทางคุณอธิปครับแต่เขาก็วางหูใส่ตลอด คิดว่าต่อจากนี้ไปก็คงคุยกันทางชั้นศาลอย่างเดียวครับ”
       
       ด้านฝ่าย "หนุ่ม กรรชัย" เผย ได้ออกมาโชว์หลักฐานเอกสารประทับตราฟ้องร้องของศาลอาญา โดยเปิดเผยว่าทางศาลประทับรับฟ้องตามที่ตนยืนฟ้องไปครบทั้งสิ้น 3 คดีเรียบร้อยแล้ว
       
       “คดีที่ผมได้ฟ้องร้องไปมี 2 คดีด้วยกันคือคดีทางแพ่งและอาญา เมื่อวานนี้ (5ก.ค.)ทางศาลอาญาได้มีการวินิจฉัยและได้มีการประทับรับฟ้องเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางกรรมการของบริษัทไอ ดู ไอซ์ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายของไอซ์มอนสเตอร์ในประเทศไทยก็ตกเป็นจำเลยเรียบร้อย วันนี้ก็เลยอยากจะมาบอกกับเหล่าเฟรนไชส์และลูกค้าของไอซ์มอนสเตอร์ได้ทราบกันซึ่งจะมีเกี่ยวกับเรื่องราวคดีอาญา ถึง 3 หัวข้อด้วยกัน มีเรื่องของการถอดถอนชื่อผู้ถือหุ้นของตัวผมออก โดยที่ผมไม่ได้ยินยอม และมีการนำเอกสารของผู้ถือหุ้น ซึ่งถือเป็นเอกสารมหาชนเอาไปยื่นแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานที่กระทรวงพาณิชย์ อันนี้ถือเป็นเรื่องของการทำผิดกฎหมายแน่นอน”
       
       “ข้อที่ 2 เป็นเรื่องของกรรมการหรือว่าจำเลยทั้ง 2 คนได้นำเอาเงินของบริษัทออกไปใช้จ่ายส่วนตัว ในมุมกลับกันผมทำงานมา 4-5 ปีกลับไม่เคยได้รับเงินปันผมเลยแม้แต่สลึงเดียว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยในการลงทุน ส่วนข้อที่ 3 ของการฟ้องร้องเป็นเรื่องของสาขาบางสาขาของไอดูไอซ์ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของไอซ์มอนสเตอร์ที่อยู่ในประเทศไทย เป็นบริษัทที่ผมเคยมีหุ้นส่วนอยู่ด้วย ปรากฏว่าเงินบางสาขาแทนที่จะกลับเข้ามาที่บริษัทเวลาที่ขายได้แล้ว แต่กลับไปเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2 ศาลอาญานัดอีกทีวันที่ 1 กันยายนนี้ครับ”
       
       “ในส่วนของคดีทางแพ่งผมฟ้องไม่ได้เรียกอะไรเลย ผมเรียกแค่ส่วนของผมที่ควรจะต้องได้ที่เป็นเงินปันผลรายปี ค่าแบรนด์ของตัวผมเองรวมถึงค่าลงทุนต่างๆ ก็เป็นเงินจำนวนหลัก 10 ล้านขึ้นครับ คงไม่ได้เรียกอะไรที่มันดูโอเว่อร์เกินไป จริงๆ ต้องเรียนว่าทางฝั่งจำเลยเคยได้ออกมาแถลงข่าวครั้งหนึ่งบอกว่ามีเงินที่กลับเข้ามาในบริษัทประมาณ 200 ล้านบาทซึ่งผมได้ไปเช็คแล้วกับทางกรมสรรพากร ก็ปรากฏว่ามันมีจริง ผมถามว่าทุกคนถือหุ้นเท่ากันหมดคนละ 15 เปอร์เซ็นต์ รวมแล้ว 7 คน ผมถามว่าถ้าหักต้นทุนไป 100 ก็เหลือ100นึง แล้ว15 เปอร์เซ็นต์นั้นมันคือจำนวนที่ผมจะต้องได้รับ รวมถึงค่าแบรนด์ของผมต่างหากอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันในศาลอีกครั้งนึง ศาลจะนัดอีกทีก็สิ้นปีเลยครับ ถามถึงความมั่นใจในคดีนี้ของผมบอกเลยว่าผมมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์”
       
       เผยยังไม่ฟันธงว่าจะเข้ามาดูแลเฟรนไชส์ของไอซ์มอนสเตอร์ต่อหรือไม่หลังจากเคลียร์คดีเสร็จสิ้นแล้ว รับรู้สึกเฮิร์ททุกครั้งที่ได้ยินชื่อ ลั่นเห็นแก่ความเป็นพี่น้องยินดีหากอีกฝ่ายมาขอเจรจานอกรอบ
       
       “เรื่องการซื้อมาทำต่อคงจะต้องดูกันต่อไปครับ อยู่ในขั้นตอนของการพูดคุยกันว่าจะเอายังไง แนวโน้มผมก็ยังรักไอซ์มอนสเตอร์อยู่นะครับ แต่ ณ วันนี้พอเกิดเหตุการณ์เยอะแยะมากมาย ความน่าเชื่อถือของแบรนด์มันก็ค่อนข้างจะลดน้อยลงก็คงจะต้องขอไปปรึกษากับทางพี่น้องที่เหลืออยู่ก่อนว่าจะเอายังไงต่อไป เรื่องคดี ณ วันนี้ไม่มีอะไรให้กังวลครับ ผมรอทางเขาอยู่ว่าเขาจะติดต่อมายังไง ถ้าเกิดยังไม่ติดต่อมาอีกก็คงต้องดำเนินคดีต่อไป เพราะเดี๋ยวจะมีการฟ้องร้องขึ้นมาอีก 2-3 คดีเกี่ยวกับตัวของไอซ์มอนสเตอร์ ในเรื่องของเอกสารที่ยังไม่ชัดเจนคงต้องเอาไว้พูดกันในชั้นศาลอีกทีนึง”
       
       “ต้องเท้าความอย่างนี้ครับ ด้วยตัวร้านไอซ์มอนสเตอร์ที่อยู่ในบริษัทไอ ดู ไอซ์จริงๆ มีแค่ 7 สาขาส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นเฟรนไชส์ ของไอ ดู ไอซ์ ทั้งหมดเลย มันเลยต้องมีการหยุดการทำร้านไอซ์มอนสเตอร์ก่อนชั่วคราวจนกว่าจะมีการตกลงอะไรให้มีความชัดเจนขึ้น ตัวผมเองไม่รู้เรื่องหรอกแต่ทางคุณชาร์ดวิดได้โทรศัพท์มาหาผมและสอบถามว่าปัญหาของผมคืออะไรแล้วเขาก็เล่าปัญหาของเขาให้ผมฟัง แล้วเขาก็ขออนุญาตบินมาเมืองไทยเพื่อที่จะมาแถลงข่าวด้วยได้ไหม แต่ยังไงคงไม่ใช่เป็นการฟ้องร้องร่วมกัน แค่แถลงร่วมกันเฉยๆ ”
       
       “กับไอซ์มอนสเตอร์ตัวผมลงทุนเป็นเงินสดไปจำนวนนึง แต่มันจะมีเรื่องของการที่ผมเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ แล้วผมได้เสียสิทธิ์กับสินค้าต่างๆ ไป รวมถึงได้มีการไปถ่ายเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับทางแคนนอนของประเทศไทย เพื่อที่จะเอากล้องวงจรปิด 20 กว่าตัวมูลค่าเกือบ 2 ล้านบาทมาติดตามไอซ์มอนสเตอร์ทุกสาขา แต่สิ่งที่มันย้อนกลับมาหาตัวผมคือทางนั้นเขาบอกว่าผมเป็นแค่พรีเซนเตอร์ ซึ่งเรื่องนี้มันสามารถไปเช็คได้ที่กระทรวงพาณิชย์อยู่แล้วว่าครั้งนึงมันเคยมีชื่อของผมอยู่หรือเปล่าที่เป็นผู้ถือหุ้น แล้วผมเองก็ได้ชำระเงินไปตามกฎหมาย มีสัญญากับทางแคนนอนประเทศไทย ผมมีหลักฐานทุกอย่างครบครับ”
       
       “บอกตรงๆ ทุกวันนี้ผมไม่อยากได้ยินชื่อของไอซ์มอนสเตอร์เลย เพราะเหมือนเราก็ทำให้เขาเกิดขึ้นมา แล้วยิ่งมาได้ยินชื่อของน้องเขยเราเอง มันทำให้ผมรู้สึกเฮิร์ทมากเพราะเราเองก็ทุ่มเทกับมันมาสุดตัวแต่สุดท้ายมันได้รับผลตอบแทนมาแบบนี้มันก็รู้สึกแย่ครับ อย่างทุกวันนี้เองผมกับเขาเราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย จริงๆ แล้วมันเคยมีการเจรจากันแล้วถึง 3 ครั้ง ทั้ง 3 ครั้งที่เขาขอเจรจาด้วยผมไม่ได้ขอเงินหรือขออะไรเลย ผมขอแค่อย่างเดียวคือเข้าไปออดิทบัญชีทั้งหมดที่บริษัทแต่เขาไม่ยอมทั้ง 3 ครั้งเลยมันเลยทำให้มีการฟ้องร้องเกิดขึ้น สำหรับผมถ้าไม่มาคุยกันให้รู้เรื่องก็คงดำเนินการถึงที่สุด ผมยังเปิดโอกาสให้อยู่ครับเพราะเขาเป็นน้อง แต่ถ้าเขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันคือสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่เป็นไร ไปเจอกันในชั้นศาล แต่ถ้าคิดว่าคุณมองเห็นปัญหาที่มันเกิดขึ้นมันควรจะต้องแก้ไขก็ควรจะต้องติดต่อมา”


ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)