Author Topic: “สมยศ” ซัด “ฟิล์ม” สมัยก่อนเคยมาขอเงิน มี 200 ยังแบ่งกันใช้มาแล้ว ยังลืมบุญคุณกันได้  (Read 921 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“สมยศ” สุดทนแถลงข่าวซัด “ฟิล์ม” โกหก พร้อมงัดหลักฐานคลิปเสียงสนทนากับแม่ฟิล์ม และ ผู้บริหารอาร์เอส ออกมายืนยันว่าเป็นคนปั้นฟิล์มคนแรก พร้อมจวกแหลกนักร้องดังลืมบุญคุณ ทั้งที่อดีตเคยมาขอเงิน มีอยู่ 200 ก็ยังแบ่งให้ใช้ แต่กลับไม่เคยเห็นความดีของตนเลย พร้อมสับเละ ทำตัวแบบนี้สังคมควรสนับสนุนอยู่อีกหรือไม่
       
       หลังจากเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา บุกไปปะ ฉะ ดะ นักร้องชื่อดัง “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ถึงศาลอาญา รัชดา ในระหว่างที่นักร้องดังไปขึ้นศาลในคดีฟ้องหมิ่น “แอนนี่ บรู๊ค” จนทำเอาหลายคนแตกตื่นมาแล้ว ล่าสุดวานนี้(23 มิถุนายน) “สมยศ ศรีสมบรูณ์” อดีตนักข่าวที่อ้างตัวว่าเป็นคนปั้นฟิล์มคนแรก ก็ได้เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการขึ้นที่ ร้าน SEE U ย่านลาดพร้าว โดยมีทนาย “ปัณณวัชร์ พนิกาสิรินันท์” และ “อุ๊บ วิริยะ” ตามมาให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด
       
       โดยครั้งนี้ “สมยศ” ได้นำหลักฐานเป็นคลิปเสียงตอนสนทนากับแม่ฟิล์ม ก่อนที่แม่ฟิล์มจะรับปากว่าจะตักเตือนลูกชายไม่ให้โกหกอีก รวมถึงคลิปเสียงตอนที่ “ชัยยศ สายบัวทอง” ผู้บริหารระดับสูงค่ายอาร์เอส โทรมาเจรจาในวันที่เจ้าตัวบุกไปศาล เพื่อหว่านล้อมให้กลับบ้านไปก่อนเพราะไม่อยากให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย มาเผยแพร่ต่อหน้าสื่อมวลชน ก่อนจะบอกถึงเหตุผลที่ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวครั้งนี้ว่า ต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีของตนเองกลับคืนมา และเพื่อยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนลวงโลก
       
       "ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่ให้ผมได้พูดความจริง ที่ผมไม่ได้พูดมาโดยตลอด 10 ปี แล้วคนธรรมดาไม่มีชื่ออย่างผม ผมโดนกระทำโดยที่ผมไม่เคยพูดมาก่อน 10 ปีถือว่านานนะครับ เรื่องวันที่ 18 มิถุนายน 2554 ที่ผมไปที่ศาล เพราะฟิล์มได้ไปพูดผ่านสื่อก่อนที่จะไปอังกฤษว่าไม่รู้จักผม ผมมาแอบอ้าง ผมเป็นคนที่ถูกต้องที่พาเขามา ทำไมผมต้องถูกขึ้นชื่อว่าเป็นคนแอบอ้าง"
       
       "หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าอยากจะถามกับตัวเขา ว่าเขาจะตอบอย่างไร แล้วเวลาเขาเห็นตัวจริงของผม และผมไม่จำเป็นต้องเกร็งเขาอยู่แล้ว เพราะความจริงอยู่กับผมนะครับ และไปที่ศาลวันนั้น และผมก็ไปคุยเรื่องราวต่างๆ ว่าความจริงมันคืออะไร ตอบพี่มาสิครับ ซึ่งสื่อมวลชนทุกท่านก็ได้เห็นแล้วนะครับ ว่าในข่าวนั้นมันก็มีชื่อผมอยู่แล้ว ตั้งแต่ปี45 ในหนังสือพิมพ์ที่เห็น"
       
       "หลังจากนั้นพอผมพูดก่อนที่เขาจะขึ้นศาล ผมก็รอเขาขึ้นไปชั้นบน ในระหว่างที่เขาขึ้นไปชั้นบน ผมก็รอว่าเวลาเขาลงมา ผมก็ต้องการที่จะถามเขา ต้องการที่จะคุยกับเขาว่ามันคืออะไร แต่ระหว่านั้นมีผู้บริหารอาร์เอส โทรมาคุยกับผมจริงๆ ครับ ซึ่งเบอร์โทรศัพท์ก็อยู่ในมือถือผม ซึ่งก็คุยกันว่ายศเป็นอย่างไงเรื่องฟิล์ม เราเคยคุยกันแล้วนะ แล้วพี่ก็ขอว่าอย่าให้ถึงโรงถึงศาลกันเลยนะ หรือค่อยๆ คุยกัน หรือวันจันทร์ออฟฟิศเปิดจะขอโทษอะไรกันก็ค่อยคุยกันอีกที"
       
       "ซึ่งผมก็รับฟังและปรึกษากับทนายของผมดูแล้ว ว่าผมมาไม่ต้องการรุกราน แต่พอผู้ใหญ่พูดแบบนั้นแล้ว ผมก็คงต้องถอยหลังก่อน ทางผู้ใหญ่ได้คุยดีกับเราขนาดนั้น ก็เลยคิดว่าฟิล์มคงต้องพูดได้ดี ก็เลยกลับออกมาก่อน และผมก็เลยเดินไปบอกกับสื่อมวลชนว่าผมกลับก่อนนะครับ เพราะมีผู้บริหารโทรมาคุยกับผมแล้ว ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็คือ พี่ชัยยศ สายบัวทอง"
       
       "พอผมกลับแล้ว ผมก็ไม่ทราบว่าพีอาร์สื่อสารกับบริษัทอย่างไร ถึงได้บอกว่าไม่มีผู้บริหารท่านได้โทรมาคุยกับผม ซึ่งผมก็เสียหาย ซึ่งถ้าไม่มีผู้บริหารโทรมาหาผมเนี่ย ทำไมผู้บริหารรู้แล้วโทรมาหาผมล่ะครับ ผมก็เคารพและรู้สึกภูมิใจ ว่าคนตัวเล็กๆ อย่างผม ที่คนบางคนดูถูกศักดิ์ศรีผม แต่ผู้ใหญ่ระดับนั้นยอมมาคุยกับผม ก็ต้องขอขอบคุณพี่เขาด้วยครับ"
       
       "เรื่องวันนี้ที่ผมมาไม่มีอะไรที่จะเรียกร้อง เกินไปกว่าศักดิ์ศรีความเป็นคน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คนนึงที่ไม่ใช่คนดัง แต่คนดังกลับคิดว่า คนที่ไม่ดังไม่มีศักดิ์ศรี อยากจะพูดอะไรก็ได้ เมื่อมีความดังแล้ว และอยู่ใกล้สื่อมวลชน อยากจะพูดอยากจะโกหกกี่คำก็ได้ มันไม่แฟร์กับการที่ผมแบกภาระแบกความจริงมาโดยตลอดเวลาตั้งแต่ปี45"
       
       "เวลานักข่าวมาถามผมทุกครั้ง ผมตอบด้วยความจริง แต่กลับไปถามฟิล์มกลับตอบอีกอย่าง นั้นหมายถึงว่า การที่ผมพูดความจริงกลายเป็นคนโกหกสังคมเหรอครับ ทั้งๆ ที่บทเรื่องของการโกหกมันก็มีอยู่แล้วที่คนหลายๆ คน ก่อนจะคุยต่อไปผมมีคลิปเสียงของผู้บริหารอาร์เอสมาให้ฟัง ที่ผมถอยออกมาอย่างนั้นเพราะผมบริสุทธิ์ใจจริงๆ เพราะผมไม่ต้องการให้ใครมามองผมว่า ผมไม่มีความคิด ผมพูดไม่รู้เรื่อง ผมไม่มีการจัดระบบความคิดของตัวเอง"
       
       "ตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยได้ยินฟิล์มเอ่ยชื่อผมเลย ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเขาไม่มีเงินไปโรงเรียน สองร้อยสามร้อย สมัยนั้นผมทำข่าว เป็นนักข่าวเหมือนพวกเพื่อนๆ เงินเดือนไม่ได้เยอะมาก สองร้อยสามร้อยผมแบ่งให้คุณใช้ บางทีมี 200 มึงแบ่งกับกูคนละร้อย แล้วเขาขอตังค์ผมน่ะ ผมไม่อยากพูด ซึ่งจริงๆ ตรงนี้ไม่ต้องยอมรับก็ได้ฟิล์ม เพราะพี่ไม่มีหลักฐานการจ่ายตังค์ให้กับคุณ"
       
       หลังจากพรั่งพรูความในใจที่อัดอั้นมากกว่า 10 แล้ว เจ้าตัวก็ได้เปิดคลิปเสียงสนทนากับแม่ฟิล์มให้กับผู้สื่อข่าวฟังเพื่อเป็นการยืนยันว่ารู้จักและได้มีการพูดจากันจริงๆ ก่อนจะซัดแม่ฟิล์มต่ออีกว่า…
       
       "จากคลิป เวลาเขาพูดเขาจะพยายามที่จะแก้ตัว แล้วก็พยายามที่จะพูดให้ลูกตัวเองดูดีตลอดเวลา แล้วก็ไม่เคยยอมรับผิดอะไรเลย แล้วก็เฉไฉตลอด แล้วเวลาพูดผมแทบจะไม่ได้พูด เขาจะแทรกผมตลอด แทรกๆ แล้วก็แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ"
       
       "สิ่งที่ทำให้ผมได้โทรไปคุยกับเขา มันเริ่มมาจากที่ตอนแรกที่ผมพาเขามาตั้งแต่ปี 45 ผมไม่เคยวุ่นวายเลย พอผมพาไปถึงอาร์เอสปุ๊บ มีความรู้สึกว่ามันคุยกันไม่ได้ หรือไม่เคยให้เกียรติผม ผมก็หยุด จบ หลังจากนั้นผมไม่เคยอะไรเลย แต่ผมไม่เคยออกมา แล้วครั้งนี้ที่ออกมาและที่อัดเสียงไว้ก็เนื่องมาจากว่าเขาไปออกรายการตีท้ายครัว เมื่อสองปีที่แล้ว และบอกว่าเจอพจน์ อานนท์ ที่ซอย 101 ซึ่งการพูดมาแบบนี้มันไม่ใช่ ผมก็เลยโทรไปบอกแม่ว่า ลูกพี่พูดผิด ทำไมต้องพูดผิดแบบนี้"
       
       "และในคลิปจะได้ยินแม่พูดว่า พี่ให้สัญญาว่าเธอจะไม่ได้ยินลูกพี่พูดผิดอีก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นรายการไหน สื่อใดก็จะไม่มีอีก นั่นคือคำสัญญาที่ออกจากปากแม่ แล้วก็บอกว่าลูกไม่เคยพูดผิด เพราะฉะนั้นก็ฝากสื่อมวลชน แล้วก็ฝากแฟนคลับ หรือใครก็แล้วแต่ ลองพิจารณาเองนะครับ ว่าคำพูดของเขามันเป็นยังไง"
       
       "สิ่งที่เขาปฏิเสธผมมาตลอด ผมมีความรู้สึกว่าผมเหนื่อยกับการที่จะต้องตาม กับการที่จะต้องเจ็บปวด เจ็บใจ อยู่เป็นประมาณ 9 ปี 10 ปี ซึ่งคนๆ นึง แบกรับความรู้สึกมานานขนาดนี้ แล้วก็ยังเหยียบย่ำผมอยู่ แม้กระทั่งวันที่ 18 ก็เหยียบย่ำผมต่อ แล้วก็สิ่งที่ผมทำกับเขามันเหมือนกับพี่น้องทำงานด้วยกัน มันผิดด้วยเหรอที่ผมไม่มีสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ผมมีแค่สัญญาใจ แต่ผมพาไปถึงที่บริษัทได้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำงาน โดยที่ผมไม่ได้มีความดีอะไรกับเขาเลย"
       
       "วันนี้ที่ออกมา ผมอยากให้เป็นตัวอย่างให้กับเด็ก เยาวชน หรือผู้ที่อยู่ในวงการบันเทิงว่าควรจะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีอย่างไร ควรจะต้องอยู่กับความจริงอย่างไร ไม่ใช่อยู่กับการสร้างวิมานในอากาศ สร้างปราสาทในกองทราย ซึ่งไม่มีประโยชน์หรอกครับ"
       
       "เอาเป็นว่าวันนี้ผมก็พูดจบไปหมดแล้ว ตอนนี้มันก็ต้องขึ้นอยู่ที่ตัวฟิล์มและสังคม และท่านสื่อมวลชนทุกคนจะตอบอย่างไร จะตัดสินอย่างไรจากข้อมูลทุกอย่าง และก็อยู่ที่สามัญสำนึกส่วนตัวว่าจะโกหกตัวเองอีกต่อไปหรือเปล่า จะหลอกตัวเองอีกต่อไปหรือเปล่า จะทรยศตัวเองอีกต่อไปหรือเปล่า และถ้าจะไม่ยอมรับไม่เป็นไร พี่ถือว่าพี่ได้ทำทุกอย่างโอเคที่สุดแล้ว ผมมีความรู้สึกเคลียร์"
       
       "ถ้าเกิดฟิล์มคิดว่าเป็นเรื่องจริงที่เคยโกหกมา ผมแพ้ ไปสาบานวัดพระแก้วได้เลย จะกล้าไปหรือเปล่า หรือจะโกหกอย่างไร คนเรารู้จักรับความจริงบ้าง ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองผิดพลาดเค้าก็ให้อภัยครับ ผมไม่ซีเรียสแต่ขอให้รู้จักความจริง ให้สังคมตัดสิน ให้พี่ๆ สื่อมวลชนตัดสินว่าบุคคลประเภทลักษณะแบบนี้ เราควรจะนำเสนอข่าว หรือสนับสนุนเป็นต้นแบบอีกต่อไปหรือเปล่า"
       
       ส่วนที่มีข่าวว่า “สมยศ” เตรียมเขียนพ็อกเก็ตบุ๊ค ก็เลยออกมาแฉ “ฟิล์ม” เพื่อปั่นกระแสให้ตัวเองนั้น กับเรื่องนี้สมยศปฏิเสธ ก่อนตอกกลับฟิล์มก็เคยเกาะตนมาก่อนเหมือนกัน
       
       "ไม่จริงครับ ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าผมทำสำนักพิมพ์ ผมเขียนหนังสือขาย ผมมีหนังสือหลายเล่มออกมาตลอดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวครับ เรื่องเขียนหนังสือมันอยู่ในความสามารถของผมอยู่แล้ว อย่างที่ผ่านมาผมก็เขียนหนังสือเรื่องของกระทรวงการพัฒนาสังคม เรื่องแผนที่คนดีเรื่องดี และก็เขียนเรื่องการเดินทางสู่ความสำเร็จ"
       
       "อย่าหาว่าผมเกาะกระแสหรืออะไรเลยนะครับ ถ้าจะหาว่าผมมาเกาะกระแสต้องมองย้อนไปว่าตอนฟิล์มเข้ามาตอนแรก ฟิล์มก็เกาะเครดิตการเป็นนักข่าวผมเข้ามาก่อนเหมือนกันนะครับ และก็อยากจะให้พิจารณาว่า ลักษณะของศิลปินแบบนี้เนี่ย ควรจะให้สังคมหรือว่าใครตอบคำถามแทนคุณดีครับ"




ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)