"ไวรัส" ชี้แจงกระแสข่าวผู้บริหารปิดบริษัทฯหนี ยืนยันแค่ย้ายไปสำนักงานแห่งใหม่ ส่วนกรณีย้ายโดยไม่แจ้งล่วงหน้ากับพนักงานยอมรับว่าทำไม่ถูกและยินดีจ่ายค่าเสียหายชดเชย แต่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องการย้ายเพราะกลัวข้อมูลสำคัญรั่วไหล เนื่องจากพนักงานบางส่วนที่ขัดแย้งกับบริษัทฯ ไม่พอใจที่กำลังจะถูกเลิกจ้าง
วานนี้ (10 มิ.ย.) บริษัท ไวรัส สทิวดิโอ จำกัด ผู้พัฒนาและให้บริการเกมออนไลน์ Killed in Action ได้แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีพนักงานของบริษัทได้ถ่ายคลิปวีดีโอแสดงให้เห็นภาพออฟฟิศที่อยู่ในสภาพรกร้าง ไม่มีอุปกรณ์สำนักงานหลงเหลืออยู่ จนเกิดกระแสข่าวว่าผู้บริหารของไวรัสได้ปิดบริษัทฯหนีไปต่างประเทศ โดยมี น.ส.รสรินทร์ บุญวัฒนพิสุทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ไวรัส สทิวดิโอ จำกัด ได้เปิดเผยว่า กระแสข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง บริษัทฯได้ทำการย้ายไปยังอาคารสำนักงานแห่งใหม่เท่านั้น ไม่ได้ปิดหนีแต่อย่างใด
"จากรณีที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับรูปภาพและคลิปวีดีโอต่างๆ ที่มีการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ที่เป็นภาพของออฟฟิศในสภาพที่ถูกขนย้ายของอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างออกไปแล้ว ทางเราก็ขอยืนยันว่าออฟฟิศตรงนั้นเป็นที่ตั้งของไวรัสสตูดิโอจริงๆ โดยข้าวของต่างๆได้ถูกขนย้ายออกไปนั้นเป็นทรัพย์สินของบริษัทเองและทรัพย์สินที่ทางบริษัทได้เช่ามา เพื่อนำไปตั้งไว้ที่ออฟฟิศใหม่ซึ่งเป็นอาคาร 5 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าเดิม"
"ที่เราต้องทำเช่นนั้นเพราะว่าตอนนี้ธุรกิจมีการเติบโต ทำให้สถานที่เก่าเริ่มที่จะมีความคับแคบ จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายโลเคชั่น นอกจากนี้บริษัทก็ยังมีการปรับปรุงโครงสร้างของการทำงาน มีการเปลี่ยนการบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อให้การทำงานของบุคคลมีคุณภาพมากขึ้น"
"การปรับปรุงดังกล่าวได้รวมถึงแนวคิดเลิกจ้างพนักงานบางส่วน เนื่องจากการทำงานของพนักงานบางส่วนมีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของบริษัท เนื่องจากพนักงานบางท่านมีพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนกฏระเบียบของบริษัทหลายต่อหลายครั้ง แม้จะได้รับการเตือนไปแล้วก็ยังคงเพิกเฉยต่อคำเตือน ซึ่งพนักงานกลุ่มนี้ก็น่าจะทราบพฤติกรรมของตนเองดี ตรงนี้ก็คงไม่ขอเอารายละเอียดอะไรมาโชว์ เพราะว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานเหล่านั้น อาจจะทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงจนไม่สามารถไปหางานทำต่อในที่อื่นได้ แต่ทางเราได้เตรียมรายละเอียดในส่วนนี้ไว้สำหรับชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้เรียบร้อยแล้ว"
"ในส่วนของพนักงานที่บริษัทจะดำเนินการเลิกจ้าง ก่อนที่จะเราจะทำการย้ายของเนี่ยเราไม่สามารถแจ้งให้ทราบได้ว่าเราจะมีการขนย้าย เพราะว่าโดยธรรมชาติของธุรกิจของเราที่เป็นธุรกิจเกมและซอฟท์แวร์ ถ้าหากมีการรั่วไหลของข้อมูลขณะขนย้ายจากฝีมือของผู้ไม่ประสงค์ดีหรือแม้แต่ตัวพนักงานเองที่มีความไม่พอใจกับบริษัทอยู่ อาจมีการขโมยข้อมูลหรือทำลายข้อมูลเกิดขึ้น ก็จะทำให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจและก็อาจจะเกิดผลกระทบต่อผู้เล่นซึ่งเป็นผู้บริโภคในขณะนั้นด้วย อย่างเช่นถ้าตัวฮาร์ดแวร์ของเซิร์ฟเวอร์ถูกเอาไประบบก็ต้องชัตดาวน์เป็นอาทิตย์ ซึ่งก็จะเกิดผลกระทบขึ้นมาอย่างใหญ่หลวง หรืออย่างกรณีที่ตัวซอร์ซโค้ดถูกขโมยไป ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับบริษัทเกมในต่างประเทศ ก็จะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวบริษัท ที่เราต้องทำไปเช่นนั้นก็เพื่อจะเซฟตรงจุดนี้"
"เราตั้งใจจะแจ้งให้ทราบหลังจากที่มีการขนย้ายเรียบร้อยแล้ว โดยเราได้เตรียมที่จะเดินทางมาพบพนักงานพร้อมกับเปิดออฟฟิศให้พนักงานเข้ามาเก็บของส่วนตัวออกไป แต่ในช่วงเช้าวันจันทร์ขณะที่กำลังจะเดินทางมาออฟฟิศพร้อมกับนำเอกสารแจ้งมาให้แก่พนักงานที่เราจะเลิกจ้าง รวมถึงแจ้งการย้ายออฟฟิศให้กับพนักงานคนที่เหลือ แต่ในขณะที่เรากำลังจะเดินทางในเช้าวันจันทร์ก็มีพนักงานที่ไม่ได้อยู่ในนั้น ก็โทรมาบอกว่าเรื่องที่พี่ขนย้ายของไปตั้งแต่วันเสาร์-อาทิตย์ มีเด็กเขารู้แล้วและเขาก็คิดว่าพี่ขนของหนี ตอนนี้เขากำลังโกรธ เขากำลังแรง พี่อาจจะไม่อยากเข้ามาเจอเป็นการส่วนตัวในตอนนี้"
"ทางเราก็เลยคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวเราเอาเอกสารแจ้งการเลิกจ้างส่งไปทางไปรษณีย์ด่วนแทน ก็คิดว่าถ้าส่งไปตอนเช้าก็น่าจะได้รับกันในตอนเย็น แต่ในระหว่างที่เรากำลังดำเนินการเตรียมส่งในช่วงสายๆ ก็ได้รับโทรศัพท์ว่าขณะนี้มีคลิปวีดีโอโจมตีบริษัทกันเยอะแยะ เราก็เลยเข้าไปเช็คดูว่าคลิปอะไร โพสต์อะไร ปรากฏว่าก็เป็นพนักงานของเราเอง ซึ่งหลายคนคงจะได้เห็นกันทางอินเตอร์เน็ตไปแล้ว"
"พอเป็นอย่างนี้ก็เลยต้องเบรกเรื่องการส่งเอกสารแจ้งไปก่อน เพื่อคุยกับฝ่ายกฏหมายของบริษัทว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้เราควรจะทำยังไงดี ทางฝ่ายกฏหมายก็แจ้งมาว่าในขณะนั้นพนักงานกลุ่มนั้นก็ยังถือว่าเป็นพนักงานของบรษัทฯอยู่ ยังไม่ได้ถูกบอกเลิกจ้างจึงยังมีสถานะเป็นพนักงานอยู่ การที่ไปกระทำเช่นนั้นซึ่งก่อให้เกิดความเสื่อมเสียอย่างรุนแรงกับบริษัท จุดนี้ถือว่าผิดกฏหมายแรงงาน ทำให้เราจำเป็นจะต้องบอกเลิกจ้างพนักงานทั้งกลุ่มที่ไปปรากฏตัวอยู่ในวีดีโอ ทั้งยังร่วมมือกันโพสต์ข้อความทำลายชื่อเสียง โดยทางฝ่ายกฏหมายก็ได้ร่างเอกสารแจ้งขึ้นมาเพื่อเตรียมส่งให้กับพนักงานกลุ่มนั้นว่าเรามีความจำเป็นที่จะต้องเลิกจ้าง ด้วยสาเหตุที่พวกเขากระทำการอุกอาจจนบริษัทต้องเสียชื่อเสียง ซึ่งเราก็ได้ส่งจดหมายฉบับนี้ไปแล้วตั้งแตวันพุธที่ผ่านมา"
"จากข้อความและวีดีโอหมิ่นประมาทที่ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายนั้น บริษัทก็ขอเรียนชี้แจงว่า สิ่งที่พนักงานได้กล่าวอ้างนั้นไม่เป็นความจริง ทางไวรัสสตูดิโอไม่ได้ปิดบริษัทแต่อย่างใด ไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินหนี ข้อมูลเหล่านั้นพนักงานเข้าใจกันไปเองและไม่ทราบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯก็ขอยืนยันว่ายังคงประกอบกิจการอยู่ ตัวเกมก็ยังเปิดอยู่ตามปกติ ที่เราต้องย้ายก็เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯกำลังพยายามติดต่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้ให้หยุดการกระทำ พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ถ้าหากกลุ่มบุคคลเหล่านี้ยังไม่ให้ความร่วมมือ เราก็จำเป็นจะต้องดำเนินการตามกฏหมายต่อไป ซึ่งทางบริษัทได้เก็บรวบรวมหลักฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือวีดีโอคลิป และพร้อมที่จะดำเนินการทันทีหากไม่ได้รับความร่วมมือ"
"ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ามีทรัพย์สินของพนักงานหายไป เราขอยืนยันว่าทรัพย์สินที่ขนย้ายไปเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ และทรัพย์สินที่บริษัททำการเช่าซื้อมาเท่านั้น เราไม่ได้นำทรัพย์สินของพนักงานออกไปเลย เพราะว่าถ้าหากบริษัทฯนำทรัพย์สินของพนักงานออกไปก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เขาเข้ามาเอาทรัพย์สินของเขาในวันจันทร์ บริษัทฯก็ขอยืนยัน ณ ตรงนี้เลยว่าบรรดาทรัพย์สินส่วนตัวของพนักงานที่หายไป ทางบริษัทฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะตอนที่ย้ายของก็ได้ยืนควบคุมดูแลอยู่ ไม่มีการนำเอาของส่วนตัวของพนักงานไปเลย"
"บริษัทฯขอยืนยันว่า พนักงานกลุ่มที่บริษัทฯต้องการจะเลิกจ้าง ทางบริษัทฯตั้งใจจะจ่ายค่าจ้างให้ตามที่สมควรจะได้รับให้แก่พนักงานที่เราจะเลิกจ้างจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง บริษัทฯไม่มีจุดประสงค์ที่จะเอาเปรียบรังแก แต่มีพนักงานบางกลุ่มให้ข่าวไปแบบบิดเบือนข้อเท็จจริง บริษัทฯเพียงต้องการดำเนินมาตรการเหล่านั้นเพื่อที่จะปกป้องความเสียหายของข้อมูลเท่านั้น เนื่องจากเราเล็งเห็นว่าหากเกิดมีข้อมูลรั่วไหลก็จะไม่มีใครรับผิดชอบได้เลย"
"สำหรับพนักงานกลุ่มที่ต้องถูกเลิกจ้างเพราะกระทำการไปตามอารมณ์ ทั้งที่พนักงานเหล่านั้นบางส่วนก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จะถูกเลิกจ้าง บริษัทฯก็รู้สึกเสียใจ เพราะทางเราเองทำธุรกิจเกม หลายคนก็น่าจะทราบดีว่าวงการเกมของไทยไม่ได้เติบโตไปไกลเหมือนในต่างประเทศ ดังนั้นการที่เราจะทำเกมขึ้นมาให้มีคุณภาพอย่างที่ไวรัสกำลังพยายามทำอยู่ บุคคลากรที่มาทำงานเหล่านี้ เราเองก็ต้องเสียเวลา เสียเงินทุนในการสอนเขาหลายปี เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้เราเองก็ไม่อยากสูญเสียคนเหล่านี้ไป"
"ออฟฟิศใหม่ของเรามีที่อยู่ชัดเจน ทางเรามีรูปให้ดู อาจจะดูรกอยู่บ้างเพราะยังจัดของไม่เสร็จ พึ่งย้ายมา อยู่ที่ถนนวิภาวดีฯ ซอย 20 ส่วนเรื่องการย้ายโดยที่ไม่แจ้งต่อพนักงานล่วงหน้า ทางเราก็ยินดีที่จ่ายค่าชดใช้ในส่วนนี้ให้กับพนักงานอยู่แล้ว ซึ่งเรามองว่าค่าปรับในเรื่องของการไม่ได้แจ้งย้ายล่วงหน้า เทียบไม่ได้เลยกับความเสียหายที่เราจะได้รับหากข้อมูลเกิดการเสียหายหรือรั่วไหลออกไป"
"เท่าที่ทราบตอนนี้ ดูเหมือนพนักงานกลุ่มนี้จะไปแจ้งต่อกรมแรงงานให้ช่วยมาติดตามเรื่อง ซึ่งทางเราก็ได้รับเรื่องไว้แล้วเตรียมที่จะไปให้ปากคำในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ ส่วนที่พนักงานอ้างว่าติดต่อเราไม่ได้ ทางเราเองก็ติดต่อเขาไม่ได้เหมือนกัน โทรไปแล้วก็ไม่รับสาย จริงๆแล้วทางเราก็มีการเปลี่ยนเบอร์ พนักงานหลายคนอาจจะไม่ทราบ แต่ก็เปลี่ยนมา 5 เดือนแล้ว พนักงานคนที่ทราบก็จะมีเลขาฯ กับคนอื่นๆไม่กี่คน แต่ในส่วนของอีเมลล์ยังใช้อันเดิม ก็แปลกใจที่ไม่มีอีเมลล์จากพนักงานส่งมาหาเลย"
"การย้ายออฟฟิศครั้งนี้เป็นการทำเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ นอกเหนือจาก K.I.A. ตอนนี้เรามีโครงการทำเว็บเกม รวมไปถึงเว็บโปรเจ็คที่ไม่ใช่เกมด้วย มีชิ้นนึงเกี่ยวกับ อี-คอมเมิร์ซ เราจึงต้องใช้พื้นที่มากกว่าเดิมสำหรับเก็บสินค้า นอกจากนี้ยังมีโซเชียลเกมอีก 2 ตัว เริ่มโปรโตไทป์ไปแล้วเกมหนึ่ง ส่วนอีกเกมยังเป็นไวท์เปเปอร์"
"พนักงานที่เราตั้งใจจะเลิกจ้างในตอนแรกคือกลุ่มที่เรามองว่ามีปัญหากับบริษัทฯ ส่วนที่เหลือเราตั้งใจที่จะยังเก็บเขาเอาไว้ ซึ่งกลุ่มที่เราจะเลิกจ้างก็อยู่ในหลายแผนกที่เรามองว่าเขาไม่มีใจกับเราแล้ว ก็ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นแผนกไหนเป็นพิเศษ เราดูที่ประสิทธิภาพเป็นหลัก โดยในตอนแรกพนักงานที่จะถูกเลิกจ้างมีทั้งหมด 14 คน แต่หลังเกิดเรื่องทางบริษัทฯก็จะเลิกจ้างทั้งหมด 28 คนที่ไปปรากฏตัวในคลิปวีดีโอ ซึ่งจำนวนที่เพิ่มขึ้นนี้ หลายคนไม่ใช่คนที่จะถูกเลิกจ้างในตอนแรก แต่เขาไปร่วมกระทำหมิ่นประมาททำให้บริษัทฯเสื่อมเสียชื่อเสียง ร่วมถ่ายคลิป ร่วมโพสต์ข้อความ ทำให้เราต้องเอาเขาออกไปด้วย"
"ตอนนี้ก็มีพนักงานที่ก่อเรื่อง 2-3 คนเริ่มติดต่อเข้ามาพูดคุย โดยที่เขาได้ทราบเรื่องมาจากพนักงานที่ไม่ได้ไปก่อเหตุ ซึ่งกลุ่มพนักงานที่ไม่ได้ไปก่อเหตุเราก็ได้ติดต่อให้กลับเข้ามาทำงานตามปกติแล้ว เขาก็คุยกับพนักงานที่ไม่ได้ก่อเหตุว่า จริงๆแล้วเขาไม่ได้อะไรกับบริษัทฯ คนอื่นๆเขาทำกันเองจนทำให้เขามีแอ็คชั่นตรงนั้นไปด้วย ถ้ายังไงเขาขอคุยได้ไหม ก็เริ่มมีติดต่อเข้ามาแล้ว 2-3 คน"
"ในกลุ่มพนักงาน 28 คนนี้ เรารู้สึกเสียดาย เพราะบางคนก็มีทัศนคติที่โอเค เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่คงเหมือนกับว่าตอนนั้นทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เราเองก็ลงทุนลงแรงสอนงานกันมาเป็นปี ก็ไม่อยากสูญเสียเขาไป ทางเราก็อยากประณีประนอมในตอนแรก พยายามโทรไปบอกให้เขาเบรกไว้ก่อนเรื่องข้อความ เรื่องวีดีโอคลิป แต่โทรไปแล้วเขาก็ไม่ยอมรับสาย พอมาถึงตอนนี้ถ้าเขาอยากจะมาคุยก็คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้วว่าเขาอยากจะเข้าหาเราในแบบไหน ก็ยังเข้ามาคุยได้"
"พฤติกรรมหลายอย่างของพนักงานกลุ่ม 14 คนแรกที่เราจะเลิกจ้างก็มี มาสาย ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ทำงานไม่ตรงเวลาที่กำหนด ทำผิดกฏระเบียบอื่นๆทั่วไป อย่างเช่น นอนที่ออฟฟิศทั้งที่ไม่ได้อยู่ทำงาน ถ้าหากต้องนอนออฟฟิศเพราะอยู่ทำงานเราก็โอเค แต่บางคนก็มาอาศัยนอนเหมือนเป็นอพาร์ตเมนท์เลย เราก็มีการตักเตือนทั้งวาจาและลายลักษณ์อักษรไปแล้ว"
"การที่เราต้องเลิกจ้างพนักงาน 28 คนทั้งที่ในตอนแรกมองไว้แค่ 14 คน เราเองก็ช็อคเหมือนกัน เพราะเราก็กำลังขยายธุรกิจ เราก็คงต้องรับคนเข้ามาเพิ่มหรืออาจจะต้องใช้การเอาท์ซอร์ซบ้างในช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนนี้"
"เรื่องที่มีข่าวว่าไวรัสค้างค่าเช่าออฟฟิศเดิมนี่ไม่เป็นความจริงแน่นอน เพราะว่าพึ่งจะจ่ายเช็คให้ไปเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมานี่เอง ส่วนเรื่องข่าวที่ว่าเราแจ้งว่าแค่เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ แต่กลับขนย้ายของออกนี่ก็ไม่จริง ทางเราได้ดำเนินการแจ้งย้ายออกเรียบร้อย มีการเซ็นเอกสารชัดเจนกับทางตึกตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม"
"พนักงานกลุ่มที่เราจะเลิกจ้างในตอนแรก เขาค่อนข้างที่จะขัดแย้งกับทางบริษัทฯอยู่แล้ว เหมือนกับขึ้นๆลงๆมาพักใหญ่แล้ว แล้วทีนี้เราไม่สามารถไว้วางใจได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันย้าย ซึ่งตัวเขาเองก็คงพอจะทราบมาอยู่ก่อนแล้วด้วยว่าจะถูกเลิกจ้าง ตรงนี้เราเลยต้องเซฟข้อมูลไว้ให้มากที่สุด เพราะว่าช่วงขนย้ายใครจะยกอะไรออกไปนี่เราคุมลำบาก"
"การที่เราจะหาคนเข้ามาทำงานในวงการนี้แบบที่มีสกิลเนี่ย มันต้องเสียเวลาและทุนในการที่จะเทรนเขาขึ้นมา ดังนั้นถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ เอาแบบว่าถ้ายังพอทนกันได้ เราก็ไม่อยากจะเสียบุคคลากรที่เราเทรนขึ้นมา แต่ทีนี้พอมันมาถึงจุดหนึ่งที่มันไม่ไหวจริงๆ เราก็ต้องยอมตัดใจเพราะว่าพอเรารับคนใหม่ๆเข้ามา กลายเป็นว่าเขามีผลกระทบ มีอิทธิพลต่อเด็กใหม่ๆ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีด้วย มันเริ่มส่งผลกระทบต่อองค์กรทำให้ควบคุมไม่ได้ ยิ่งในช่วงที่เรากำลังขยายองค์กรให้มันโตขึ้น จะมีคนใหม่ๆเข้ามาเยอะ ถ้าหากยังคงมีตัวอย่างที่ไม่ดีปัญหาในอนาคตมันก็จะแก้ยาก ส่วนเรื่องที่มีข่าวว่าไวรัสใช้โอกาสนี้สร้างชื่อ เราต้องบอกว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำอย่างนี้ เพราะมีข่าวแบบนี้ออกไปก็มีแต่เสียอยู่แล้ว"
"สำหรับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจก็มีวิตกบ้างเหมือนกันกับข่าวนี้ บางรายเขาก็ขอเบรกงานไว้ก่อนจนกว่าเรื่องนี้จะเคลียร์ชัดเจน แต่เรื่องการย้ายโดยไม่แจ้งพนักงานเราก็ยอมรับว่ามันขัดต่อกฏหมายแรงงาน ซึ่งเราก็พร้อมที่จะจ่ายค่าเสียหายกรณีนี้ แต่สิ่งที่สำคัญคือตัวเกม K.I.A เราลงทุนไปร่วมร้อยล้านบาท ถ้าข้อมูลตรงนี้มันสูญหายไปมันก็จบ กลุ่มพนักงานที่ทราบเรื่องย้ายจึงมีเพียงแค่กลุ่มที่ต้องจัดการเรื่องเอกสารการขนย้าย เป็นกลุ่มพนักงานที่ได้ทราบก่อน"
"คนที่เอาวีดีโอคลิปขึ้นโพสต์บนอินเตอร์เน็ต จริงๆแล้วเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มพนักงาน 14 คนแรกที่จะถูกเลิกจ้างด้วยซ้ำ เราเองก็ช็อคว่าทำไมเขาจึงทำแบบนั้น ปกติก็เห็นทำตัวดี ก็คิดว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง ก็พยายามโทรหาเขา 3-4 ครั้ง เขาก็ไม่รับสาย ก็มีพนักงานเก่าคนหนึ่งคุยเอ็มเอสเอ็นเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราก็บอกเขาว่าให้ฝากบอกเพื่อนเขานะว่าทำอย่างนี้มันไม่ใช่นะ ทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง มันทำไม่ได้ ยังไงก็ไปเอาลงก่อน แล้วมีอะไรค่อยคุยกัน เพราะอย่างนี้มันเข้าข่ายหมิ่นประมาททำลายชื่อเสียง ก็ไม่ทราบว่าเขาไปบอกต่อกับเพื่อนเขาหรือเปล่า"
"เอกสารที่ส่งทางไปรษณีย์ให้แก่พนักงานทั้ง 28 คนเมื่อวันพุธระบุไว้ชัดเจนว่าแจ้งเรื่องการเลิกจ้าง ซึ่งทางเราส่งไปแล้วจึงไม่สามารถนำมาให้ดูได้ แต่เรามีเอกสารแจ้งเรื่องการเลิกจ้างชุดแรกที่จัดทำไว้ให้กับพนักงาน 14 คนแรก แต่ยังไม่ทันได้ส่งเพราะเกิดเรื่องซะก่อนมาให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วก็มีบัตรตอกเวลาเข้างานของพนักงานรายหนึ่งให้ดูเป็นตัวอย่าง"
"ส่วนตัวแล้วมองว่าเราทำงานกันเหมือนพี่น้อง ก็อยากที่จะทำงานร่วมกับทุกคนอยู่แล้ว แต่บางครั้งมันก็มีความจำเป็นของระบบธุรกิจและระบบองค์กรเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ต้องมีการออกกฏตักเตือนต่างๆ ซึ่งตรงนี้มันก็ต้องพบกันครึ่งทาง เราจะไปอะลุ่มอล่วยตลอดมันก็ไม่สามารถทำได้ เพราะว่าเราไม่ใช่เจ้าของคนเดียว มีผู้ร่วมลงทุนท่านอื่นในบริษัทที่เราต้องคอยดูแลผลประโยชน์ให้เขาด้วย ตรงนี้ก็อยากให้พนักงานเข้าใจถึงการที่เราต้องเข้มงวดเรื่องกฏระเบียบ ก็อยากให้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข ระบบองค์กรจะมาฟรีสไตล์ตลอดก็คงทำไม่ได้ อยากให้เข้าใจด้วยที่ต้องมีกฏข้อบังคับกันแบบนี้ ส่วนคนที่บอกตรงๆว่าทำตัวดีแต่มาโดนลูกหลงในเคสนี้ ถ้าอยากจะเข้ามาคุยเป็นการส่วนตัว ก็ยังพอที่จะเข้ามาคุยกันได้ แต่เนื่องจากเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงต้องทำตามขั้นตอน จะต้องมีการสัมภาษณ์กันใหม่ เพราะว่าเราต้องดูทัศนคติเขาด้วย รับฟังการชี้แจงเหตุผลถึงสิ่งต่างๆที่เขาได้กระทำลงไป แต่คงไม่ถึงกับต้องยื่นเรซูเม่ใหม่ เพราะเรารู้แล้วว่ามีความสามารถ ฝีมือดี ถ้ารับกลับเข้ามาทำใหม่ก็คงจะได้รับเรทเงินเดือนเท่าเดิม"
ที่มา: manager.co.th