Ralph de la Vega ซีอีโอ AT&T ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ในสหรัฐฯ ตอบคำถามระหว่างการให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ All Things Digital เกี่ยวกับตลาดอุตสาหกรรมมือถือ โดยส่วนหนึ่งของการตอบคำถามเขาได้แสดงทรรศนะถึงไมโครซอฟท์ วินโดว์ โฟน ซึ่งนับว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
โดยส่วนหนึ่ง De la Vega ยอมรับว่า ยอดขายของวินโดว์โฟนในขณะนี้นั้นยังอยู่ในระดับที่ไม่ดีนักสำหรับไมโครซอฟท์และ AT&T แต่ในทางกลับกัน เขาก็เชื่อว่า แพลตฟอร์มดังกล่าวยังคงมีโอกาสอยู่ แถมยังตอกย้ำด้วยว่ามันเป็นเพียงแค่เทคนิครุ่น 1.0 เท่านั้น และนี่คือส่วนหนึ่งการของให้สัมภาษณ์
All Things Digital: โนเกีย ได้สร้างการเดิมพันครั้งใหญ่ด้วยการหันไปซบอกวินโดว์ โฟน ซึ่งคุณว่ามันน่าสนใจที่เพิ่มลงไปในไลน์อัพสินค้าของคุณมั้ย?
De la Vega แสดงความคิดเห็นว่า เราพร้อมที่จะสนับสนุนวินโดว์ โฟน 7 ลงในไลน์อัพของเรา เพราะแท้จริงแล้วเราชื่นชอบตัวซอฟท์แวร์เป็นอย่างมาก แต่มันอาจจะทำรายได้ที่ไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับความต้องการที่ไมโครซอฟท์อยากให้เป็น ซึ่งผมคิดว่า ความสามารถของฮาร์ดแวร์โนเกีย บวกกับความสามารถของซอฟท์แวร์ไมโครซอฟท์ เป็นการจับคู่ที่ลงตัวมาก ดังนั้น พวกเขาต้องพิสูจน์ด้วยการนำสุดยอดอุปกรณ์บุกตลาด แต่อย่างไรก็ดี ผมก็ยังขอยืนยันว่า ชื่นชอบอุปกรณ์โนเกียกับวินโดว์ โฟน 7 จริงๆ
และเมื่อผู้สื่อข่าวตั้งคำถามต่อไปว่า วินโดว์โฟน 7 ขายยาก หรือมันขาดคุณสมบัติ?
De la Vega ตอบกลับว่า อย่าลืมว่า นี่เป็นผลิตภัณฑ์แรกของไมโครซอฟท์หลังจากที่ไมโครซอฟท์ลุกขึ้นมาสร้างแพลตฟอร์มอีกครั้ง ซึ่งผมคิดว่า สำหรับสิ่งแรกแล้วมันเป็นช่องทางที่เยี่ยมยอดมาก ผมคิดว่าพวกเขาจำเป็นที่จะต้องทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งถ้าคุณได้ฟังที่ Steve Ballmer กล่าวไว้ว่า จะเพิ่มฟีเจอร์อีกประมาณ 500 ฟีเจอร์ ผมก็คิดว่ามันเป็นการทำให้ดีขึ้นขั้นสุดยอดแล้ว ซึ่งก็จะทำให้ผู้ใช้ได้มีตัวเลือกแอพพลิเคชั่นที่มากขึ้น มีแอพสโตร์ที่ใหญ่ขึ้นพร้อมกับฟังก์ชั่นในโทรศัพท์มากมาย ซึ่งผมคิดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจำเป็น
ย้อนกลับไปเมื่อสี่เดือนก่อน โนเกียได้ประกาศที่จะเลือกใช้วินโดว์ โฟนเป็นแพลตฟอร์มหลักในสมาร์ทโฟนของตน ก่อนที่ในอีกสองเดือนถัดมา โนเกียและไมโครซอฟท์จะลงนามข้อตกลงเป็นพาร์ทเนอร์กันทั้งนี้ หลายคนยังเชื่อว่า โนเกียควรที่จะหันกลับไปซบอกแอนดรอยด์ เนื่องจากแพลตฟอร์มของกูเกิลนั้นสามารถครอบครองมาร์เก็ตแชร์ได้แล้วในวันนี้ ซึ่งหลังจากนี้ไป เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า บริษัทจากประเทศฟินแลนด์ ตัดสินใจถูกในวงการอุตสาหกรรมหรือไม่
Source : TechSpot
ที่มา: pantip.com