เมื่ออินเทลพัฒนาโพรเซสเซอร์ประหยัดพลังงาน ทำให้การใช้โน้ตบุ๊คในฝัน ที่สามารถทำงานได้ตลอดวัน ใกล้เป็นความจริงแล้ว...
ปัจจุบัน การใช้งานคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งาน เปลี่ยนจาการนั่งทำงานอยู่กับที่ในสำนักงาน หรือ ที่บ้าน และที่สถานศึกษา มาเป็นแบบการทำงานเคลื่อนที่ หรือโมบิลิตี้ เวิร์กเกอร์ มากขึ้น อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนมาใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ที่ตอบสนองความต้องการทำงานทั่วไปในแต่ละวันได้ ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสาร ท่องอินเทอร์เน็ต เล่นเกมออนไลน์ การใช้เพื่อความบันเทิง นอกจากนี้คนจำนวนไม่น้อยใช้งานโน้ตบุ๊คเพื่อติดต่อกับเพื่อนๆ ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เช่น ไฮไฟว์ เฟซบุ๊ค และยูทูวป์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การหอบหิ้วโน้ตบุ๊คไปใช้งานนอกสถานที่ ปัจจัยเรื่องขนาดของเครื่อง น้ำหนัก และแบตเตอรีต่างเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ และใช้เป็นเหตุผลเพื่อจ่ายเงินซื้อโน้ตบุ๊คมาใช้งาน ดังเช่นปี 2551 ที่ผ่านมา เกิดปรากฎการณ์ "เน็ตบุ๊คฟีเวอร์" เนื่องจากผู้ใช้งานส่วนหนึ่งต้องการเครื่องขนาดเล็กไว้ใช้งาน เพื่อท่องอินเทอร์เน็ต หรือ ใช้งานเอกสารเล็กน้อย ทำให้เน็ตบุ๊คที่มีราคาประมาณ 199 เหรียญสหรัฐ เป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่าการซื้อโน้ตบุ๊คที่มีขนาดจอเล็กประมาณ 12 นิ้ว แต่ราคาสูงกว่า 500-1,200 เหรียญสหรัฐ อีกทั้งเน็ตบุ๊คยังประหยัดไฟด้วย
เนื่องจากส่วนมากที่จำหน่ายในตลาดเลือกใช้ อินเทล อะตอม โพรเซสเซอร์ ที่กินไฟประมาณ 4 วัตต์ เพราะไม่รับงานประมวลหนักๆ เหมือน คอร์ทูดูโอ หรือ เพนเทียม คอร์ โพรเซสเซอร์ จึงทำให้ใช้งานได้นานประมาณ 3 ชั่วโมงต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง (แบตเตอรี 3 เซลล์) เพราะมีขนาดจอที่เล็ก ประหยัดพลังงานมากกว่าโน้ตบุ๊คที่มีจอขนาด 14 นิ้ว และมีซีพียูที่กินไฟประมาณ 25-30 วัตต์ และการที่ซีพียูกินไฟน้อย ทำให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบเน็ตบุ๊คให้มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบาได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ได้มีการแนะนำโน้ตบุ๊คแบบใหม่ เป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภค คือ รุ่นบางและเบาเป็นพิเศษ (Ultra Thin and Light Notebook)
นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายถึงที่มาของโน้ตบุ๊ครุ่นบางและเบาเป็นพิเศษว่า จากการที่อินเทลสร้างความต้องการของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ในตลาดกลุ่มใหม่ในขณะนี้ เป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนไป ที่ต้องการความคล่องตัวในการพกพา ควบคู่กับประสิทธิภาพการทำงานที่โดดเด่น รวมทั้งยังมีราคาที่ไม่แพง โน้ตบุ๊ครุ่นบางและเบาเป็นพิเศษ ที่ใช้โพรเซสเซอร์รุ่นกินไฟต่ำเป็นพิเศษ (Ultra Low Voltage: ULV) ของอินเทลนี้ จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้ประสิทธิภาพการใช้งาน และการประหยัดพลังงานที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด
เนื่องจากโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่นี้จะมีการออกแบบที่บางและที่สำคัญจำหน่ายในราคาที่ใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊คระดับเมนสตรีม โดยนับเป็นความภูมิใจของอินเทลที่จะนำเสนอความบางเบาเป็นพิเศษนี้ ให้แก่ผู้ใช้โน้ตบุ๊คได้สัมผัสได้ราคาที่ถูกกว่าเดิม จากปกติที่จำหน่ายเครื่องละ 50,000 บาทขึ้นไป ลดลงมาเหลือประมาณ 23,000 -35,900 บาท สอดคล้อมกับทิศทางที่ผู้บริโภคจะเลือกใช้โน้ตบุ๊คขนาดจอ 15-17 นิ้ว เพื่อทดแทนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือเอาติดตัวไปทำงานนอกสถานที่
อินเทลได้สำรวจความต้องการของผู้บริโภคที่ซื้อโน้ตบุ๊คพบว่า สิ่งที่ลูกค้าต้องการจากโน้ตบุ๊คมากที่สุด ได้แก่ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัยของข้อมูล และอายุการใช้งานแบตเตอรี เพราะอายุการใช้งานแบตเตอรีจะต้องแลกกับการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย หรือ อินเทอร์เน็ตไวไฟ แต่การที่โน้ตบุ๊คมีขนาดบางและเบา ยังต้องพบปัญหาความร้อนสะสม เนื่องจากไม่มีพื้นที่พอติดตั้งพัดลมระบายความร้อนที่เกิดจากซีพียูได้ ในตลาดโน้ตบุ๊คแบบที่บางและเบามีสัดส่วนเมื่อเทียบจากตลาดภาพรวมไม่ถึง 11%
ดังนั้น เมื่อโน้ตบุ๊คที่ใช้โพรเซสเซอร์แบบ ULV เข้าสู่ตลาดจะเพิ่มสัดส่วนโน้ตบุ๊ครุ่นบางและเบาได้ไม่น้อยกว่า 23% หากมองตลาดโน้ตบุ๊คในเมืองไทย ขนาดจอ 14 นิ้วยังเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด ที่ผ่านมาผู้บริโภคเห็นเครื่องที่มีขนาดจอภาพ 7-12 นิ้วมาแล้วในกลุ่มโน้ตบุ๊ค และในอนาคตโน้ตบุ๊คขนาดจอ 16 นิ้วจะเข้ามาทดแทนเดสก์ท็อปพีซี ผนวกกับการที่โน้ตบุ๊คที่ใช้โพรเซสเซอร์แบบ ULV ให้อายุการใช้งานของแบตเตอรีนานถึง 8 ชั่วโมง กับขนาดเครื่องที่หนาต่ำกว่า 1 นิ้ว การแสดงภาพกราฟฟิคดีขึ้น เชื่อมต่อแบบไร้สายดีขึ้น รวมถึงรองรับอุปกรณ์ต่อพ่วงดิจิตอลต่างๆ สะดวกขึ้นตามไปด้วย
จากความสามารถที่กล่าวมาและระดับราคาที่อยู่ที่ 20,000 – 30,000 บาท ที่เชื่อว่าในงานคอมมาร์ตเอ็กซ์เจน ไทยแลนด์ 2009 นี้ จะเห็นสินค้าต่างๆ โดยจะทำให้โน้ตบุ๊ค และเน็ตบุ๊คแยกแยะออกจากกันได้ชัดเจน ทั้งประสิทธิภาพการทำงาน และการที่ไม่ต้องพึ่งพาออปติคอลไดร์ฟภายนอก อีกทั้งสเปคความเร็วของซีพียูที่ 1.6-1.8 GHz จึงเพียงพอกับการทำงาน ของผู้ใช้งานทั่วไป และสร้างกลุ่มผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ตลอดวัน (All Day Computing) ให้ขยายตัวมากขึ้น โดยล่าสุดมีผู้ผลิตคอมพิวเตอร์กว่า 40 แบรนด์ชั้นนำทั่วโลก พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊คแบบบางและเบาเป็นพิเศษสู่ท้องตลาดแล้ว
ด้าน นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวถึงผลที่จะได้หลังจากจำหน่ายโน้ตบุ๊คแบบบางและเบาพิเศษว่า คิดว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้น่าจะได้การตอบรับ และมีกระแสความนิยมมาก และในงานคอมมาร์ตที่กำลังจะมาถึงอาจมียอดขายถึง 50% จากจำนวนโน้ตบุ๊คของเอเซอร์ที่ขายในงาน โดยตลาดในเมืองไทยอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก เพื่อทำตลาดให้คนรู้จักเทคโนโลยีใหม่ๆ และเอเซอร์ยังคงทำตลาดโน้ตบุ๊คที่ใช้ ULV โพรเซสเซอร์ควบคู่กับเมนสตรีม ทั้งนี้ตลาดไอทีภาพรวมน่าจะมีความคึกคักบ้าง จากการที่เทคโนโลยีใหม่ออกสุ่ตลาด แม่จะหลายฝ่ายมองว่าตลาดไม่น่าจะมีการเติบโตมากเหมือนปีที่แล้วก็ตาม
จากที่ IT Digest ได้ลองสัมผัสเครื่องโน้ตบุ๊คแบบบางเบาเป็นพิเศษ ที่ใช้โพรเซสเซอร์แบบ ULV ของอินเทล รวมถึงความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ ค่อนข้างประทับใจกับความบาง และน้ำหนักที่เบา และแบตเตอรีที่ใช้ได้นาน อีกทั้งยังทำงานได้ไม่ต่างจากโน้ตบุ๊ครุ่นปกติที่ขายอยู่ ขณะเดียวกันอาจจะกระตุ้นกลุ่มผู้ใช้งานที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และการออกแบบที่มีสไตล์ เพราะทุกค่ายไม่ว่าจะเป็น เอเซอร์ เดลล์ อัสซุส ซัมซุง และเอ็มเอสไอ ต่างมีการออกแบบโน้ตบุ๊คที่เป็นแบบเฉพาะแตกต่างกันไป
แต่พิเศษที่สุด คือ ไม่ต้องเดินหาปลั๊กไฟเวลาไปใช้งานนอกบ้าน หรือ ต้องพกสายไฟติดตัวให้หนักกระเป๋าเพราะกลัวแบตเตอรีหมดอีกแล้ว...
จุลดิส รัตนคำแปง
itdigest@thairath.co.th
ที่มา: thairath.co.th