"แองเจลินา โจลี" เฉลยที่มารอยสักแถวที่ 7 บริเวณต้นแขน

[Nick]

หลังจากที่ปิดปากเงียบมานานและปล่อยให้คนคาดเดาไปต่างๆนานา มาตอนนี้"แองเจลินา โจลี"นักแสดงสาวใจบุญก็เปิดปากถึงที่มารอยสักแถวที่ 7 ที่หัวไหล่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
       
       หลังปล่อยให้ผู้คนคาดเดากันว่ารอยสักแถวที่ 7 ที่เกิดขึ้นใหม่อาจเป็นการชี้เป้าหมายแหล่งที่มาของลูกบุญธรรมคนใหม่ก็เป็นได้ มาตอนนี้นักแสดงสาววัย 35 ปี ได้ให้สัมภาษณ์เฉลยคำตอบขณะร่วมเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์แล้วว่าเป็นที่เกิดของแบรด พิตต์
       
       "เอาล่ะ ถ้าพวกเขารู้ว่านี่คือละติจูดและลองจิจูด พวกเขาจะพบได้อย่างรวดเร็วว่ามันเป็นสถานที่เกิดของแบรด ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบหาอะไรมาก ระยะพิกัดนี้คือ ชอว์นี โอกลาโฮมา"
       
       บทสัมภาษณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นขณะนักแสดงสาวเดินทางไปโปรโมทภาพยนตร์ Kung Fu Panda2 ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ซึ่งเธอยังปฏิเสธข่าวเรื่องการรับลูกบุญธรรมคนใหม่มาเลี้ยงโดยเธอระบุว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในตอนนี้
       
       นอกจากนั้นเธอยังระบุด้วยว่า Kung Fu Panda 2 เหมาะกับครอบครัวและการรับเด็กมาเลี้ยงของเธออย่างมาก ซึ่งเธอเริ่มกังวลเกี่ยวกับการผสมผสานระหว่างลูกแท้ๆและลูกบุญธรรมว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ แต่ตอนนี้เธอสบายใจขึ้นแล้วเมื่อใช้หนังเป็นตัวช่วยและเด็กๆก็พูดคุยกันถึงเรื่องนี้
       
       "เด็กๆชอบมาก พวกเขาหัวเราะกันเสียงดังสุดๆเลย ในบ้านเราคุยกันอย่างเปิดเผยมากๆ ทั้งเรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เป็นเรื่องที่มีความสุขมากในบ้านเรา"
       
       เมื่อครั้งที่รอยสักแถวที่ 7 เป็นที่สังเกตเห็นและกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วว่านักแสดงสาวกำลังจะรับลูกบุญธรรมคนใหม่มาเลี้ยง ซึ่งบางเว็บไซต์ได้คาดเดาว่าพิกัดดังกล่าวน่าจะหมายถึงประเทศ อัลจีเรีย
       
       อย่างไรก็ตามเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา นักแสดงสาวก็ได้ปฏิเสธข่าวเรื่องที่เธอจะรับเด็กมาเลี้ยง ซึ่งบางรายงานก็คาดเดาถูกต้องว่าพิกัดแถวที่ 7 นั้นคือสถานที่เกิดของแบรด
       
       โดยแหล่งข่าววงในได้เผยกับนิตยสาร In Touch ว่า "เธอสักแถวที่ 7 ช่วงที่เธอกับแบรดย้ายเด็กๆกลับไปที่ลอสแองเจลิส หลังจากที่พาพวกเขาตระเวนไปรอบโลก ในที่สุดแองเจลินาก็ตอบตกลงคำขออันยาวนานของแบรดในการลงหลักปักฐานร่วมกัน ในทางกลับกันเธอเองก็ต้องการความมั่นคงถาวร รอยสักจึงหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของครอบครัว"
       
ที่มา: manager.co.th