“หนุ่ม กรรชัย” เหลืออดฟ้องญาติตัวเองโกงหุ้นร้าน “ไอซ์มอนสเตอร์” ลั่น หมดเวลาไกล่เกลี่ยเดินหน้าเอาเรื่องให้ถึงที่สุด หลังเจรจานอกรอบก่อนฟ้องศาลแล้ว 3 ครั้งแต่ไม่เป็นผล ข่ม มีหลักฐานเพียบ พร้อมเผย เปิดบริษัทมา 5 ปีได้แต่ค่าเงินเดือน แต่ไม่เคยได้เงินปันผลเลย โอด เข็ดแล้วทำธุรกิจกับญาติ
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคนในวงการบันเทิงที่เดินเข้า-ออกศาลเป็นว่าเล่น สำหรับ "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ที่ล่าสุดเจ้าตัวได้ยื่นฟ้อง "นางชัญญา โชติญาณวงษ์" จำเลยในคดีความผิด พรบ.ห้างหุ้นส่วนจำกัด หลังจากทั้งสองฝ่ายได้หุ้นกันเปิด บริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด ขายน้ำแข็งเกล็ดหิมะในชื่อ “ไอซ์ มอนสเตอร์” จากประเทศฟิลิปปินส์ แล้วเกิดมีปัญหาจนต้องมีการยื่นฟ้องร้องต่อศาล ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วก่อนหน้านี้
โดยวันนี้(18 เมษายน 2554) เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดนนทบุรีได้นัดไต่สวนมูลฟ้องครั้งแรก ซึ่งนักแสดงหนุ่มได้เดินทางมาที่ศาลพร้อมด้วย นายอนันต์ ฉัตรวชิระกุล ทนายความส่วนตัว พร้อมด้วยพนักงานบัญชีที่ยินดีเป็นพยานให้อีกหนึ่งปาก ซึ่งทางฝ่ายของ หนุ่ม กรรชัย ได้ชี้แจงกับสื่อมวลชนถึงการฟ้องร้องครั้งนี้ว่า...
“เราได้มีการร้องต่อศาลไปแล้วทั้งคดีแพ่งและอาญา โดยก่อนหน้านี้ทางเขามาขอเจรจาด้วยทั้งหมด 3 รอบ ทางผมก็ขอเข้าไปตรวจสอบบัญชีทั้งหมดของบริษัท ก็ปรากฏว่าไม่เคยได้รับการเข้าไปตรวจสอบบัญชีเลย การเจรจาทั้ง 3 ครั้งเขาไม่ยอมทั้ง 3 ครั้ง ผมก็รู้สึกว่าแบบนี้มันไม่มีความบริสุทธิ์ใจ ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงก็ต้องให้เราเข้าไปตรวจสอบบัญชี เพราะเราก็ถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งด้วย เป็นผู้ถือหุ้น เป็นประธานบริษัท เป็นคนที่นำมาซึ่งชื่อเสียงของไอซ์ มอนสเตอร์ แต่เราไม่เคยได้เงินปันผลอะไรเลย ไม่เคยมีการประชุมผู้ถือหุ้นอะไรเลย แต่เขาเอาชื่อเราออกจากผู้ถือหุ้นโดยที่ไม่ทราบมาก่อน"
"เขาก็บอกแต่ว่าได้ เดี๋ยวจะเอาเอกสารเกี่ยวกับเรื่องบัญชีมาให้ดู แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้ดูเลย คือเคยได้ดูแต่นานแล้ว เป็นเอกสารที่ว่าบริษัทเราขาดทุน ผมก็อยากถามกลับไปว่าร้านเปิดมา 5 ปี แฟรนไชส์ทั้งหมด 40 สาขา จะขาดทุนได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ ถ้าขาดทุนคงปิดไปแล้ว จะมีใครนั่งแบกรับภาระขนาดนั้น แล้วอีกอย่างผมก็ได้ไปตรวจสอบมาแล้ว มันไม่ใช่อย่างที่เขาพูด คือเรามีหุ้นอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ เราก็ควรจะได้เท่านั้น แล้วก็เงินเกี่ยวกับที่เราได้ลงทุนไป รวมถึงเรื่องการโปรโมตให้เขา ถือว่าเราเสียสิทธิ์อยู่แล้ว อันนี้ถือว่าตามกฎหมายแล้วเราก็มีสิทธิ์อยู่แล้ว"
"ตอนแรกก็มีหุ้นประมาณ 5-7 หุ้น ตอนนี้หุ้นอื่นๆ บางคนถูกถอดออกไปแบบวิธีของผมเหมือนกัน แต่ว่าเขาไปตกลงกันและมีการให้ตังค์กันจบกันไปแล้ว ส่วนน้องชายของผมอีกคนนึงก็ถูกบีบจนกระทั่งเขาขอซื้อหุ้นคืน แล้วเอาเงินให้ แล้วน้องชายก็ออกมา แล้วก็มีกรณีของผมซึ่งถูกถอดโดยที่ไม่เคยรู้มาก่อน แล้วอย่างที่เขาออกมาพูดว่าผมไม่ชัดเจนก็ ยังงงอยู่เหมือนกันว่าไม่ชัดเจนคืออะไร ถามว่าไม่ชัดเจนว่าจะทำต่อหรือหยุดไปรึเปล่ามันไม่เกี่ยวหรอก คือเรื่องของเรื่องที่เขาพูดอย่างนี้เพราะว่าเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เราได้มีการพูดคุยกัน ผมก็ทวงถามก็ตกลงกันว่าจะเอายังไง เขาก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็แยกกันไป ผมก็บอกว่าไม่แฟร์นะ เพราะผมก็ลงทุนลงทุกอย่างไป เขาก็ถามว่าอ้าว แล้วพี่หนุ่มจะเอายังไง ผมเลยบอกว่าขอเวลาคิดก่อนแล้วกัน"
"หลังจากนั้นอีกประมาณเดือน 2 เดือนก็เปิดตัวแอมบาสเดอร์เป็นตัวตุ๊กตา โดยเอาโลโก้ผมออกไป แล้วก็เปิดแถลงข่าว ผมก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็คงจะจบแล้วล่ะ เขาไม่ได้รอคำตอบจากผมจริงๆ การที่เขาเปิดแบบนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว ผมก็เลยคิดว่าคงไม่ต้องพูดอะไรกันมากให้ศาลเป็นคนตัดสินแล้วกัน แต่ไม่เกี่ยวกับการที่ชัดเจนหรือไม่ชัดเจน เพราะการที่เขาเอาชื่อผมออกจากบริษัทตั้งแต่ปี 2552 เขาเอาออกไปได้ยังไง"
ไม่แน่ใจจะชนะคดีหรือไม่แต่เชื่อในความยุติธรรมของศาลเพราะตนมีเอกสารที่ สามารถชี้ความผิดได้ครบถ้วน เผยเปิดบริษัทมา5ปีได้แต่ค่าเงินเดือนไม่เคยได้เงินปันผลเลย โอดเข็ดแล้วทำธุรกิจกับญาติพี่น้อง
"ตอบไม่ได้ว่าจะชนะ 100 เปอร์เซ็นต์รึเปล่า อยู่ที่เขาจะเอาเอกสารมายื่นให้ดูยังไงบ้าง แล้วจะหักล้างกับสิ่งที่เรามียังไงบ้าง ส่วนศาลอาญาจะนัดอีกเมื่อไหร่ยังไม่รู้ต้องรอศาลนัด แต่ถ้าศาลแพ่งมีนัดแล้วแต่จำไม่ได้ครับ แต่ผมเชื่อว่าศาลคงจะมีความยุติธรรมอยู่แล้ว เพราะว่าเอกสารก็มีครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเกิดเป็นในมุมตามหลักความเป็นจริง ลองคิดดูดีๆว่าถ้าเกิดเราทำธุรกิจอะไรสักอย่าง เราลงทุนทุกอย่างไป แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้กลับมาคือเงินปันผลเราไม่เคยได้เลย ไม่เคยมีความชัดเจนอะไรเกิดขึ้นในบริษัทเลย ขอดูบัญชีก็ไม่ให้ดูทุกสิ่งทุกอย่าง ได้แต่เงินเดือนค่าบริหารไปเรื่อยๆ ผมว่าเป็นอย่างนี้เป็นใครก็จะสงสัย นี่ผมว่าผมไว้ใจมากพอแล้ว 5 ปีที่ผ่านมาผมเพิ่งมาถาม ก็น่าจะมีความชัดเจนให้ผมบ้าง"
“จริงๆ ต้องดูทั้งหมดว่าเขาผิดจริง เอาชื่อเราออกจากบริษัท แล้วคงต้องให้ศาลวินิจฉัยชี้ลงมาดีกว่า เราก็เรียกร้องค่าเสียหายไปกับทางศาลแพงแล้วแต่ ณ วันนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นเราก็คงไม่ได้ไกล่เกลี่ย เพราะไกล่เกลี่ยกันมา 3 รอบแล้ว วันนี้ก็คงจะไต่สวนเลย คงไม่ยอม เราแค่ต้องการความชัดเจนเท่านั้นเองว่ายังไงกันแน่ แต่เรียกร้องไปเท่าไหร่อันนี้อยู่ที่ศาล คือเราบอกไปแล้วว่าขอดูก่อนว่าบัญชีทั้งหมดมีผลกำไรยังไงบ้าง ผมก็ไม่ได้จะไปเอาเขาเกินเหตุ ผมแค่ต้องการเงินในส่วนที่ผมลงทุนไป"
“บอกตรงๆ ผมเข็ดกับการทำธุรกิจกับญาติพี่น้องครับ ไม่เอาแล้ว แต่เข็ดในการทำธุรกิจไหมคงไม่ ถามว่าเหมือนเรามีปัญหากับญาติพี่น้องมากก็ใช่ คือมันเหมือนเป็นกรรมรึเปล่าก็ไม่รู้ มันเหมือนแก้วที่ร้าวแล้วมันก็ยากที่จะกลับมาประสานกันใหม่ให้เหมือนเดิม เขาคงคิดว่าไอ้การเป็นญาติพี่น้อง เราคงเรียกร้องความเป็นธรรมไม่ได้ ซึ่งมันไม่ใช่ ผมเป็นคนที่ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูกอยู่แล้ว”
ที่มา: manager.co.th