“บอย” โปรดิวเซอร์ทรูฯ ยัน ยังให้โอกาส “อ๊อฟ AF6” ทำงานต่อ บอก ไม่ได้ทำผิดแต่ต้องมาโดนจับ ถือว่าเจ้าตัวดวงไม่ดีเอง ก่อนฟุ้ง เอเอฟกระแสไม่เคยตก มีเรตติ้งดีมาโดยตลอด ลั่น ปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความแปลกใหม่ พร้อมรับ เข็ดกรณี “มาร์ค” ปีนี้เข้มงวดถึงขั้นต้องรื้อเฟซบุ๊ค หวั่นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
หลังจากที่ “อ๊อฟ ชาญณรงค์ หอมชิต” หรือ “อ๊อฟ เอเอฟ6” โดนตำรวจรวบตัวคาปั๊มน้ำมันย่านสำเหร่ หลังถูกหญิงสาวรายหนึ่งแจ้งความว่าโดน “อ๊อฟ” แอบถ่ายคลิปในขณะเข้าห้องน้ำ แถมยังพบอุปกรณ์เสพยาไอซ์ในรถ แต่รอดตัวไปเพราะตรวจปัสสาวะไม่พบสารเสพติดใดๆ ส่วนในโทรศัพท์มือถือก็ไม่พบคลิปใดๆ เจ้าตัวจึงรอดคุกอย่างหวุดหวิด แต่อย่างไรก็ตาม นับว่าข่าวดังกล่าวก็ทำให้ชื่อเสียงของต้นสังกัดอย่าง บริษัท ทรู แฟนเทเชีย จำกัด สะเทือนไม่น้อย
แม้ว่าก่อนหน้านี้ทรูจะมีการร่อนจดหมายชี้แจงไปแล้ว โดยประกาศอุ้มหนุ่มอ๊อฟต่อ แต่จะตามคุมพฤติกรรมมากขึ้น เพื่อไม่ให้ไปก่อเรื่องอีก แต่เรื่องนี้ก็ยังอยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของการคัดเด็กที่เข้ามาประกวดเอเอฟในซีซั่นต่อไป ล่าสุดมีโอกาสเจอ “บอย อรรถพล ณ บางช้าง” โปรดิวเซอร์ ทรู อะคาเดมี แฟนทีเชีย ในงานแถลงข่าวเปิดตัวรายการ Coffee Master by TrueCoffee ที่ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ เจ้าตัวก็เปิดเผยถึงประเด็นดังกล่าว โดยชี้แจงกรณีของอ๊อฟก่อนว่า...
“เรื่องของอ๊อฟต้องถามทางแฟนเทเชีย ผมไม่ได้ดูแลศิลปิน เพราะว่าผมทำรายการจบก็คือจบ แต่สำหรับความรู้สึกของผม น้องเขาถูกพิพากษาว่าเป็น แล้วน้องไปตรวจแล้วก็ไม่ได้ไปทำอะไร สำหรับผม ผมคิดว่าน้องเขายังไม่หมดอนาคตนะ และผมคิดว่าถ้าผมมีงาน ผมก็จะใช้น้องเขาต่อไป แต่ถ้าจะถามถึงมาตราการอื่นๆ ต้องไปถามทางแฟนเทเชีย เพราะว่าผมคงจะตอบไม่ได้ เพราะว่าผมไม่ได้เป็นผู้บริหารศิลปินจริงๆ แต่ตัวผมคิดว่าของทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องพิสูจน์ เมื่อเจ้าหน้าที่เขาพิสูจน์ออกมาแล้วว่ามันไม่มี ก็คือไม่มี ก็คิดว่าทุกอย่างมันเป็นดวงไม่ดีของน้องไปแล้วกัน”
“แต่สำหรับตัวผม ถ้าผมมีงานที่เหมาะสมกับน้อง ผมก็จะใช้น้อง ในฐานะของคนที่ทำรายการนะครับ ไมได้คิดอะไรมากมาย เพราะเราก็เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้ถูกดำเนินคดีอะไร แล้วอีกอย่าง เราไม่ได้หมายถึงอ๊อฟคนเดียวนะ สังคมก็ต้องยอมให้คนที่เขากลับใจด้วย คือคนไม่ดีสักครั้ง เราจะให้เขาไม่ดีไปตลอดชาติเลยหรือ แต่อย่างกรณีอ๊อฟเขายังไม่โดนเลย ไปตรวจแล้วไปอะไรแล้ว ก็ไม่ใช่ แล้วจะไปพิพากษาเขาเหรอ เขายังไม่ได้เป็นคนผิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องไปถามทางแฟนเทเชียเอาเอง ว่าเขามีนโยบายยังไง แต่สำหรับผมคิดว่า ถ้าเกิดมีงานที่เหมาะสม ผมก็จะใช้งานอ๊อฟต่อไป”
ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้ มีหลายกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า คดีมีความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ ในตอนแรกเจ้าตัวบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ตำรวจตรวจฉี่ แถมบางสื่อก็รายงานว่า ตอนโดนจับหนุ่มอ๊อฟยังอยู่ในอาการเมา รวมถึงการที่พบอุปกรณ์เสพยาไอซ์แบบครบชุดในรถยนต์ที่เจ้าตัวขับ แต่กลับบอกว่าเป็นของคนอื่น ไม่รู้ว่ามาอยู่กับตัวเองได้อย่างไร รวมไปถึงกรณีที่หญิงสาวแจ้งความว่า โดนหนุ่มอ๊อฟแอบถ่ายขณะเข้าห้องน้ำ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน เนื่องจากหนุ่มอ๊อฟให้การว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ห้องน้ำชายเต็มจึงต้องเข้าห้องน้ำหญิง ซึ่งกับเรื่องนี้โปรดิวเซอร์หนุ่มออกโรงว่า...
“ถ้าบอกว่าไม่โปร่งใสอะไรตรงนี้ ผมไม่ทราบเลย เพราะว่าผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เลย เพียงแต่ว่าผมเป็นคนที่ติดตามข่าว ติดตามว่าเรื่องมันเกิดแบบนี้แล้วก็จบไป แต่ถ้าจะไปพูดว่ามันไม่โปร่งใส อันนี้คนที่บอกว่าไม่โปร่งใสก็ต้องไปเสี่ยงเอาเองนะ ว่าไปว่าใครเขาไม่โปร่งใส ผมก็ไม่ทราบนะครับ คือผมไม่ได้คุยอะไรกับน้องด้วย อย่างที่บอกไปว่า ผมไม่ได้ดูแลศิลปิน แต่ว่าตอนนี้น้องพักงานอยู่ครับ อย่างรายการที่น้องไม่ได้ทำแล้ว น้องเขาขอพักไป แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้ผมไม่ควรพูดเลย เพราะว่าผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับน้องเลย ตั้งแต่รายการจบไม่เคยเจอน้องด้วย แต่ที่ผมพูดไปมันคือความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะผู้บริหาร”
พร้อมโว เอเอฟ7 ที่ผ่านมากระแสเรตติ้งยังแรงดี ไม่ตกต่ำเหมือนที่ข่าวนำเสนอ
“รายการเอเอฟปีนี้ก็ยังอยู่แบบปกติเดิมๆ ครับ และถ้าบอกว่า กระแสไม่ดีเท่าไหร่ ผมอยากจะบอกว่ากระแสเรตติ้งของเราดีมากเลยครับ มีคนพูดกับผมแบบนี้ทุกปี ว่าไม่ดี แต่เรตติ้งของผมขึ้นที่หนึ่งตลอดสามเดือนครับ ส่วนในเรื่องของการดูอายุของเด็กก็คงต้องดู คือมันมีการเปลี่ยนแปลง มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด บางคนอาจจะบอกว่าเป็นเด็กไม่ชอบ หรือบางคนอาจจะบอกว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ชอบ จริงเรื่องของความชอบหรือไม่ชอบ มันอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละบุคคล แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไรมากมาย ปกติไม่ได้คิดอะไรเยอะ ต้องไฟลนก้นก่อนเหมือนกัน”
“แต่สำหรับคนทำรายการอย่างผม ถ้าพูดแบบการทำการตลาดก็คือว่า ผมก็จับกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนไป รายการผมก็จะถูกจับกลุ่มอีกแบบหนึ่ง ผมทำรายการปีที่แล้วคนบอกว่าเด็กไป ไม่ชอบเลย แต่กลับกลายเป็นว่าคนอายุต่างๆ กลับนิยมรายการผมมากขึ้น เพราะฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปเรื่อยๆ มันเป็นผลดีกับรายการ อันนี้คือความเห็นของผม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่รายการจะดีหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับการสำรวจเรตติ้งจริงๆ รวมถึงผลโหวต ซึ่งผมมองว่าปีที่แล้วไม่ได้มีส่วนไหนที่ล้มเหลวนะ”
“ถ้าไปย้ำว่าปีหน้าจะเอาเด็กแบบนี้อีกไหม ผมก็อาจจะมีวิธีการที่เปลี่ยนแปลงของผม ซึ่งในความเป็นจริง เราต้องการให้รายการของเราได้คนที่มีพื้นฐานของตัวเอง เพราะฉะนั้นในแต่ละปีเราไม่เคยไปกำหนดเลย ว่าปีนี้เราต้องเอาคนแบบนี้ หรือคนอายุเท่านี้ เราคัดไปตามเนื้อผ้า แต่เผอิญว่าปีที่แล้ว เด็กอายุเท่านี้ร้องเพลงได้ดี แต่ผมก็พูดทุกปีการที่ร้องดีหรือไม่บนเวทีมันไม่เหมือนการออดิชั่น เพราะการออดิชั่นเขาคุยกับกรรมการ หรือคนดูไม่กี่คน แต่เวลาที่เขาขึ้นธันเดอร์โดมคน 4 พัน คอนเสิร์ตจริงๆ มีเทคนิคทุกอย่าง เขาไม่เคยทำเลย เพราะฉะนั้นการอยู่บนเวทีมันเป็นเรื่องของการล่าฝัน อย่าลืมว่าเราเอาคนจริงๆ ที่มีความฝันขึ้นบนเวที มันทำให้ทุกคนลุ้นเอาใจช่วย”
เจ้าตัวรับเข็ด กรณี “มาร์ค วิทวัส ท้าวคำลือ” หรือ “มาร์คV11” เมื่อปีที่แล้ว ปีนี้จะรับใครเข้าบ้านอาจจะต้องรื้อเฟชบุ๊ค เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
“กับประเด็นของมาร์คที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ถ้าเด็กจะเข้ามาก็ต้องสัมภาษณ์เยอะหน่อยนะ อาจจะต้องเอาเฟซบุ๊คมารื้อหน่อย แต่มันคือบทเรียนครับ จริงๆ เราก็ต้องยอมรับไว้เป็นบทเรียนของทีมงาน เพราะเราไม่เคยคิดเลยว่า เทคโนโลยีพวกนี้มันจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ และเราก็คิดว่า มันเป็นบทเรียน เราก็ต้องทำงานให้หนักขึ้นเหนื่อยขึ้น คิดให้รอบคอบขึ้นในเรื่องการสอบประวัติเด็ก เพราะถ้ามันเกิดเรื่องเซนซิทีฟอะไรนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่อยากจะเสี่ยง เพราะมันไม่ใช่เรื่อง”
“บางคนบอกว่า เราวางแผน เราทำรายการเอ็นเตอร์เทนเม้นท์นะ เราไม่ได้ทำรายการการเมือง เราก็ต้องยอมรับครับ ว่าช่วงนั้นเราก็เหนื่อย คนเข้าใจก็จะเข้าใจ แต่คนที่ไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจ แต่เราก็ชี้แจงไปแล้ว ว่ามันเป็นเรื่องที่เราไม่คาดหมายว่ามันจะเกิดขึ้น และมันเป็นการโชคดีด้วยซ้ำ ที่คุณพ่อคุณแม่เขาก็ยินยอมที่ให้น้องลาออก ถอนตัวไป ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดี เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นปัญหาภายในขึ้นมาอีก”
“ถ้าถามว่า ถ้าน้องอยากจะกลับเข้ามาอีก ก็คือเราไม่มีนโยบายเอาคนเก่าเข้ามาอีก มีหลายคนที่เข้ามาสมัครรอบสองรอบสาม แต่ว่าคนที่เคยเข้าบ้านแล้ว เราคิดว่าเราให้โอกาสคนอื่นดีกว่า เราก็เคยบอกน้องเขานะ หลายๆ คนก็เคยกลับมา บางคนเสียใจมากนะ คือรายการนี้ ถ้าคนที่เข้ามาไม่ได้มองว่าจะไปโด่งดัง มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ก็เด็กอยากเข้ามาได้ประสบการณ์ เพราะฉะนั้นคุณเคยเข้ามาแล้ว เราขอให้คนอื่นเขาเข้ามาบ้างดีกว่า เราก็คุยกับทุกคน ทุกคนก็เข้าใจครับ”
ที่มา: manager.co.th