Author Topic: “อาร์เอส” ผงาดตั้งเป้าปีนี้ 3,100 ล้าน ทุ่มเปิดช่องดาวเทียม พร้อมดึง “ดี้ นิติพงษ์” ร่วมทีม  (Read 975 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46027
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai



“อาร์เอส” แถลงธุรกิจตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3,100 ล้านบาท ทุ่มทุน 80 ล้านเปิดช่องทีวีดาวเทียมเพิ่มเพื่อผลิตละคร เอาซี่รี่ย์เกาหลีญี่ปุ่นมาออกอากาศกะฟันกำไร 400 ล้าน พร้อมดันเนโกะจั๊มไปญี่ปุ่น ส่วนฟิล์มกลับมาเมื่อไหร่จัดโกอินเตอร์อัดละคร 3 เรื่องรวด ลีเดียปิ๋วอาร์เอสไม่ต่อสัญญา ยันยังไม่ได้ชวน “ดี้ นิติพงษ์” ร่วมงานแต่ถ้าสนใจก็ยินดีรับเพราะมีความสามารถ
       
       “เฮียฮ้อ สรุชัย เชษฐโชติศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด มหาชน เปิดแถลงข่าวอย่างยิ่งใหญ่ประกาศฟาดรายได้ปีนี้ 3,100 ล้านบาท เดินหน้าลุยทีวีดาวเทียม เผยในปีนี้อาร์เอสครบรอบ 30 ปีจะมีผลงานใหม่ๆ และธุรกิจใหม่ๆ ออกมาให้ได้เห็นกันแน่นอน
       
       “ปีนี้ก็เป็นปีที่อาร์เอสครบรอบ 30 ปีนะครับ ในมุมของชาวอาร์เอสเองก็ถือว่าเป็นปีที่สำคัญ เรามีความภาคภูมิใจที่สามารถบริหารธุรกิจให้อยู่ในระดับแถวหน้าของวงการบันเทิงมาตลอด 30 ปี แล้วก็ยืนยันว่าด้วยทีมงานของเราด้วย แผนธุรกิจของเรา เชื่อว่าเราจะสร้างงานที่ดีออกสู่วงการบันเทิงอย่างต่อเนื่องนะครับ และที่สำคัญวันนี้เรามาพูดให้สื่อได้รับทราบให้เห็นว่า ทุกวันนี้เราเป็นเครือข่าย เราใช้คำว่าดิจิตอลเอ็นเตอร์เทนเมน เน็ตเวิร์ค เรามีความพร้อมมากในการทำธุรกิจบันเทิงและมีเดียในโลกของดิจิตอล เพราะอาร์เอสผ่านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและจัดเตรียมบุคลากรมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราก็มีความพร้อมที่จะโลดแล่นในโลกยุคดิจิตอลอย่างเต็มตัว”
       
       “จริงๆ ถามว่าจุดไหนคือจุดแข็งของอาร์เอส ในมุมของการทำธุรกิจเพลงเราก็จับทุกกลุ่มนะครับ แต่ว่ากลุ่มหลักที่เป็นหัวใจแล้วก็เป็นจุดแข็งของอาร์เอสมาตลอด เราเป็นหมายเลข 1 ในตลาดเพลงวัยรุ่นครับ ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นจุดแข็งของอาร์เอส แล้วก็เรามีความเชี่ยวชาญในตลาดวัยรุ่น ปีนี้ยิ่งชัดเจนใหญ่ว่าค่ายเพลงกามิกาเซ่สามารถครอบครองตลาดวัยรุ่นได้เบ็ดเสร็จ อีกมุมหนึ่งคือตลาดลูกทุ่งยุคใหม่ ซึ่งอาร์สยามทำได้ดีมากสามารถสร้างตลาดลูกทุ่งยุคใหม่ขึ้นมา แล้วก็สามารถครอบครองตลาดนี้ได้เกือบจะเบ็ดเสร็จนะครับ ซึ่งก็จะเป็นตัวสร้างตลาดให้เราแข็งแรงต่อเนื่องในอนาคตครับ”
       
       “ปีนี้อาร์สยามก็มีแผนที่จะสร้างศิลปินใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งจากศิลปินเดิมๆ ที่ทำอยู่ก็ทำต่อเนื่อง แต่ว่าศิลปินใหม่เขาก็มีแผนที่จะสร้างต่อเนื่อง มีกิจกรรมหรือโปรเจ็ทพิเศษที่จะร่วมฉลอง 30 ปีอาร์เอสด้วย”
       
       ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โดยประมาณ 3,100 ล้านบาท พร้อมเปิดช่องแซทเทิลไลท์ทีวีอีก 1 ช่องคือ “ช่อง 8 อินฟินิตี้” ที่จะผลิตรายการและละครเอง พร้อมดึงซีรี่ส์เอเซียมาฉายแบบครบครัน
       
       “สำหรับแผนโปรเจ็คในปีนี้ในเชิงของการทำงาน ธุรกิจที่เราโฟกัสก็มีหลายธุรกิจครับ ทุกธุรกิจก็จะแข็งแรงเติบโตต่อ แต่ว่าธุรกิจที่เราให้ความสำคัญก็จะเป็นธุรกิจแซทเทินไลท์ ทีวี แล้วก็ธุรกิจเพลงในคอนเซ็ปต์ของฟูลลี่ ดิจิตอลมิวสิค ก็จะมีโปรเจ็คพิเศษๆ มาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีอาร์เอสครับ ซึ่งปีนี้เราตั้งเป้าธุรกิจทั้งหมดอยู่ที่ 3,100 ล้านบาทครับ”
       
       “ซึ่งแซทเทิลไลท์ ทีวีปีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ ก็คือการเปิดช่องใหม่ขึ้นมาอีก 1 ช่อง ซึ่งวันนี้อาร์เอสเราหลังจากที่เปิดเมื่อปีที่แล้ว 2 ช่องคือช่องยู แชนแนลกับสบายดี ทีวี เรตติ้งเราก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จมากเป็นอันดับหนึ่งของช่องเพลงทั้งสองประเภท และตอนนี้เราก็เปิดช่องใหม่ชื่อช่อง 8 อินฟินิตี้นะครับ ก็จะเป็นช่องที่เราให้ความสำคัญมาก จะมีการผลิตละครฉายที่นี่ มีการผลิตซีรี่ส์ ผลิตรายการใหม่ๆ รวมถึงมีการเอาหนังเกาหลี จีนหรือณี่ปุ่นเข้ามาฉายที่นี่ด้วย ซึ่งการลงทุนจริงๆ ก็ไม่ได้สูงมากประมาณ 80 ล้านบาทต่อปี และปีนี้จาก 3 ช่องเราก็ตั้งเป้าไว้ประมาณ 400 ล้านบาท”
       
       “ก็ถ้าเทียบปีนี้สัดส่วนน่าจะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว แต่ปีนี้มีเดียน่าจะสูงกว่าด้านเพลงนิดนึง คือไม่เกี่ยวกับว่าเพราะเจอผลแผ่นผีหรอกครับ เรื่องแผ่นเราไม่ได้สนใจเลยเพราะผู้บริโภคเขาไม่ได้ฟังเพลงผ่านแผ่นมานานแล้ว คอนเซ็ปต์ของอาร์เอสในการทำธุรกิจเพลงของเราใช้คำว่าฟูลลี่ดิจิตอลมิวสิค เราใช้คอนเซ็ปท์นี้มา 3 ปีแล้วนะครับ แล้วก็พิสูจน์ว่ามันประสบความสำเร็จ ในขณะที่หลายๆ คนยังสนใจเรื่องของการขายแผ่นซีดี ผลิตโรงงานอะไรต่างๆ มันก็แล้วแต่มุมมองว่านี่คือการทำธุรกิจที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่สุดในโลกยุคดิจิตอล”
       
       เผยในแต่ละปีมีการสร้างศิลปินใหม่ๆ เข้าสังกัดอยู่เสมอ พร้อมดันส่งไปโกอินเตอร์อย่างต่อเนื่อง แต่คงไม่ได้มีมาตรการคุมเข้มศิลปินมาก เพราะเข้าใจว่าศิลปินในค่ายต่างก็ยังมีความเป็นวัยรุ่นอยู่
       
       “ในเรื่องของการสร้างศิลปินใหม่ๆ ผมคิดว่ามันเป็นงานประจำของอาร์เอสไปแล้ว มีการสร้างอยู่สม่ำเสมอต่อเนื่องอยู่แล้ว ซึ่งแนวทางในการคัดเลือกก็เป็นปกติ แต่ไม่ใช่ว่าสร้างใหม่เพราะศิลปินเก่าๆ ไม่ดังแล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ถ้าปีที่ผ่านมามองไปก็จะเห็นว่าเรามีการสร้างศิลปิน เพียงแต่เราจับกลุ่มที่เป็นวัยรุ่นค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดแข็งของเรา แล้วก็พิสูจน์แล้วว่าอาร์เอสตลอด 30 ปีเราสามารถสร้างตลาดเพลงวัยรุ่นมาอย่างต่อเนื่อง แล้วตลาดที่มีก็เป็นตลาดใหญ่มาก มีศักยภาพมาก โดยเฉพาะโลกยุคดิจิตอลตลาดวัยรุ่นเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงมาก”
       
       “ตอนนี้เราก็มีคุยกับศิลปินไว้สำหรับโปรเจ็คที่จะมีในปีนี้ ก็คุยอยู่หลายคนครับ อย่างฟิล์มซึ่งตอนนี้อยู่ต่างประเทศคิดว่ากลางปีก็คงกลับมาประสานต่อโปรเจ็คนี้ แล้วก็ศิลปินอีกหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นโฟร์-มด หรือว่าเนโกะจั๊มที่ไปได้ดีมากในญี่ปุ่น ก็จะมีโปรเจ็คที่จะเดินแผนงานต่อที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยครับ ส่วนมาตรการในการดูแลศิลปินจริงๆ ไม่ได้มีมาตรการอะไรนะครับ เรามีเจ้าหน้าที่ดูแลศิลปินอยู่แล้ว ก็คงให้ระมัดระวังในการใช้ชีวิต แต่เราก็มีความเข้าใจว่าศิลปินก็เป็นมนุษย์ ที่สำคัญเป็นวัยรุ่นด้วย แล้วก็เป็นคนประชาชนด้วย จะทำอะไรก็มีการเตือนให้ระมัดระวังหน่อยแค่นั้นเอง ผลกระทบที่ผ่านมาไม่ได้มีผลเลย ไม่มีผลกระทบอะไร”
       
       ส่วนกรณีของอดีตเด็กปั้นอย่าง “ลีเดีย ศรัณรัชต์ วิสุทธิธาดา” ทางบริษัทเป็นฝ่ายไม่ต่อสัญญาเอง ด้าน “บีม กวี ตันจรารักษ์” เจ้าตัวก็ขอลดบทบาทในวงการบันเทิงน้อยลง เพราะต้องการทำงานประจำมากกว่า แต่ที่สำคัญยังคงดัน “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ต่อไป บอกถ้ากลับมาเมื่อไหร่เตรียมมีงานให้ทำต่อทันที
       
       “ศิลปินเข้าออกก็มีปกตินะครับ เรื่องการถ่ายเพลงของคนทำงาน เรื่องการถ่ายเทของศิลปินปกติ ส่วนที่จะหมดสัญญาที่เรามีการพูดคุยค่อนข้างชัดเจนก็จะมีลีเดียที่หมดไปแล้ว แล้วก็บีมที่ใกล้จะหมด ซึ่งของลิเดียก็คงจะไม่มีการต่อแล้ว เห็นเจ้าหน้าที่เขาว่าอย่างนั้นนะ และที่ว่าเขาจะไปโพลีพลัสก็ไม่เป็นไร ไม่ได้มีปัญหาอะไร เราเองก็ชัดเจนเพราะเป็นความประสงค์ของอาร์เอสเองด้วย คือผมคิดว่าน้องเองก็โตขึ้น อยากจะลองทำงานหลายๆ อย่าง อยากจะอิสระ ผมก็ว่าเป็นทางที่ดี เราเองก็คิดว่าเราอยากจะสร้างศิลปินที่มีรายได้จากการดาวน์โหลดธุรกิจหลักของอาร์เอสมากกว่า เป็นอย่างนี้มันก็เหมาะสมแล้ว”
       
       “ส่วนเรื่องค่าตัวระบำดวงดาวของลีเดียก็ได้รับหมดนะครับ เป็นเรื่องระบบบัญชีมากกว่า แต่ตรงนี้น้องต้องไปคุยกับเจ้าหน้าที่เอง เพราะตรงนี้ผมไม่ทราบเรื่องเลย มันเป็นเรื่องของระบบบัญชีครับ แต่เรื่องหักค่าอะไรก็ไม่มีครับ เป็นปกติ เขาตกลงกันยังไงก็ตามนั้น”
       
       “ส่วนของบีมสัญญาก็ใกล้จะหมดแล้ว แต่เราคุยกันแล้ว ซึ่งหลังๆ น้องเขามาบอกเองว่า เขาอยากทำงานประจำ พูดง่ายๆ น้องเขาทำงานได้ไม่เต็มที่ เพราะเขามีงานสองอย่าง เขาพูดเองว่าขอผ่อนงานบันเทิงลงมาหน่อย แล้วอีกอย่างก็คืออยากจะทำงานอย่างอื่นบ้าง เราก็โอเค แต่เรื่องสัญญายังไม่ได้คุยกัน แต่ก็เป็นไปได้ที่จะต่อ เพราะเขาจะหมดปีนี้ แต่ปกติเรื่องสัญญาผมไม่ได้คุยเอง เพราะจะมีคนที่เขาดูแลอยู่แล้ว แต่ต้องบอกว่า เรื่องคอนเสิร์ตนั้นเราไม่ได้เข้าไปยุ่งเลย อย่าดึงอาร์เอสเข้าไปเกี่ยวข้อง มันเป็นเรื่องส่วนตัวของบีม บีมก็ขออนุญาตไปรับงานนี้ ซึ่งก็มีการอนุญาตไปแล้ว แต่พอมีประเด็นเป็นข่าวขึ้นมา ซึ่งทำให้บีมเขาไม่สบายใจ บีมก็แก้ปัญหาของเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอาร์เอสเลย”
       
       “ในส่วนของฟิล์มเขาก็ดี ตอนนี้เรียนภาษาอยู่จะกลับมาช่วงเดือนเมษาหรือพฤษภาคมนี้ครับ กลับมาก็จะทำงานที่ค้างกันไว้อยู่นะครับ ตอนนี้ที่เตรียมไว้ให้ฟิมล์ก็จะมีงานเพลงที่ทำกับต่างประเทศต่อ โปรเจ็คนั้นก็จะเดินหน้าต่อไป แล้วก็จะมีละครรออยู่อีกประมาณ 3 เรื่อง ซึ่งสัญญาของฟิล์มก็ยังเหลืออีกหลายปี เรื่องข่าวที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีผลอะไร ผมเชื่อว่าเป็นบทเรียนที่เขาต้องปรับปรุง”
       
       ส่วนที่มีข่าวว่าอาร์เอสได้นัดทานข้าวพูดคุยกับ “ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค” เพื่อเจรจามาร่วมงานกับบริษันั้น ผู้บริหารอาร์เอสบอกว่า ยังไม่ได้มีการชักชวนใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้ามีโอกาสและอีกฝ่ายสนใจ ตนก็ยินดีพร้อมร่วมงาน
       
       “กับคุณดี้ยังไม่มีอะไร ไม่ได้มีการนัดทานข้าวกันเลย แต่ว่าจริงๆ ผมกับพี่ดี้ก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว เจอกันในงาน พี่ดี้ก็พูดคุยกันอยู่บ่อยๆ แล้วจริงๆ พี่ดี้ก็เป็นไอดอลในวงการบันเทิง ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถ แต่ยังไม่มีอะไร ซึ่งผมต้องเรียนว่าการพูดคุยกับพี่ดี้ที่ว่านี้ คือผมเจอพี่ดี้ตามงานบ่อยมากนะครับ แล้วลูกของพี่ดี้เขาก็เรียนที่เดียวกับลูกผม เราก็เหมือนเป็นผู้ปกครองที่ได้เจอกันเท่านั้นเอง แต่ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน แต่ถ้าคุยกันแล้วพี่ดี้ติดใจอยากจะทดลองก็โอเค ยินดี คือคนมีความสามารถล่ะนะ”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)