Author Topic: “บิณฑ์” ทะนงศักดิ์ศรีพระเอก ประกาศไม่เล่นบทพ่อ-โจรบ้าๆ บอๆ  (Read 1276 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai



“บิณฑ์” หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีพระเอก เคยคว้ารางวัลนำชาย 5 ตัว ลั่นไม่รับบทโจรบ้าๆ บอๆ หรือพ่อพระเอก-นางเอก บอกมีสิทธิ์เลือก ขอรับแต่บทดีๆ เผยอยากเป็นผู้จัดละคร แต่ติดช่อง3-7มีผู้จัดฯ เยอะแล้ว เบนเข็มกำกับหนังแทน แย้มยังโสดดวงเนื้อคู่เป็นแม่ม่าย
       
       เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงมากความสามารถ และเป็นอดีตพระเอกรุ่นเก๋าที่ฝากผลงานทั้งภาพยนตร์และละครไว้มากมาย สำหรับ “ท็อป บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” แม้พักหลังจะไม่ค่อยได้เห็นมีผลงานออกทางหน้าจอสักเท่าไหร่ ปล่อยให้น้องชายฝาแฝด “ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” ฉายเดี่ยวอยู่คนเดียว แล้วตัวเองก็รับหน้าที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งล่าสุดก็หลบไปทำภาพยนตร์เรื่อง “ปัญญา-เรณู” ที่จะเข้าฉายช่วงกลางเดือนมกราคมที่จะถึงนี้
       
       ซึ่ง “บิณฑ์” เผยว่าที่ไม่ค่อยได้เห็นผลงานละคร ก็เพราะช่วงหลังๆ บทที่ส่งมาให้นั้น มีแต่บทพ่อพระเอก-นางเอก หรือบทโจรบ้าๆ บอๆ มาโดยตลอด ซึ่งขัดกับภาพที่ตนเป็นคนดี ช่วยเหลือสังคมของมูลนิธิร่วมกตัญญูในตอนนี้ และถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าตัวบอกขอทำงานเบื้องหลังยังจะดีกว่า
       
       “จริงๆ ผมก็ไม่ได้หายไปไหนนะครับ พอเรียนจบก็มาสร้างหนังเรื่องปัญญา-เรณู ซึ่งจะเข้าวันที่ 20 มกราคมนี้ เป็นหนังเกี่ยวกับเด็กภาคอีสาน ซึ่งเป็นภาพที่ใสๆ ของเด็กๆ อายุประมาณ 7-8 ขวบที่สามารถตั้งวงโปงลางได้ มันเป็นความสามารถของเขาจริงๆ มันจะเป็นเรื่องราวที่น่ารักของเด็กๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในปัญญา-เรณู ซึ่งผมอยากเสนอจริงๆ”
       
       “ส่วนงานเบื้องหน้าหลังๆ มานี้เขาส่งบทมาให้ผมเป็นกำนันบ้าง พ่อพระเอก พ่อนางเอก เป็นอ.บ.ต. เป็นโจรที่บ้าๆ บอๆ บ้าง ซึ่งผมเป็นพระเอกมาตลอด ผมรับสิ่งดีๆ มาตลอด ทั้งตุ๊กตาทองดารานำชายมา 5 ตัวนะครับ แล้วผมจะกลับมาเล่นพวกนี้เหรอครับ ผมก็ต้องเลือกใช่ไหม แต่อย่างเอกพันธ์ไม่สนใจอยู่แล้ว อะไรมาเขาก็เอาหมด เพราะว่าเขามีครอบครัวมีลูกต้องดูแล งานการอะไรเขารับหมด บทอะไรเขาก็รับ บ้าๆ บอๆ เขาก็รับ แต่ผมบางทีต้องเลือกนิดนึง ถ้าบทดีๆ มาก็พิจารณาที่จะเล่นให้ ไม่ใช่ว่าจะไม่รับเลย แต่ขอบทดีๆ มาก็เล่นให้ครับ”
       
       “หรือถ้าจะให้ผมเป็นผู้จัดละครหรือผู้กำกับละคร ผมก็สนใจนะครับ เคยไปเสนอช่องตอนที่ยังไม่ได้ทำหนังเหมือนกัน แต่ช่องเขาก็บอกว่ามันเต็มแล้ว เขาบอกอย่างนี้นะ เพราะผู้จัดฯโดยเฉพาะช่อง 3 มีเยอะมากมีเป็นร้อย แล้วช่อง 7 อีกเขาไม่ไหว แต่ถ้ามีคนมาเสนอผมก็พร้อมที่จะเข้าไปทำเลย เพราะผมเกิดมาจากวงการบันเทิง ยังไงผมก็อยู่วงการบันเทิง แต่ช่วงนี้มันเล่นแล้วไม่เกิดอะไรกับตัวเอง เล่นเป็นโจรผู้ร้ายพาลูกน้องไปปล้น พาไปข่มขืน ด่าพ่อล่อแม่เขา แต่ถ้าเป็นบทดีๆ อย่างบทที่เป็นผู้ช่วยพระเอกหรือว่าเป็นพวกค่ายมวยแล้วสอนพระเอกให้เก่ง หรือว่าอะไรที่ทำให้มันมีคุณค่ากับตัวเรา คนดูเขาจะได้คิดว่าพี่บิณฑ์กลับมาเล่นแล้วดีจัง ไม่ใช่บอกว่ากลับมาเล่นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดี”
       
       “จะบอกว่าผมยึดติดกับบท มันก็ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้ยึดติดกับบทพระเอก แต่ขอให้เป็นบทดีๆ บทที่มันเล่นแล้วสร้างสรรค์สังคม ให้เป็นตัวอย่างของเด็กหรือเยาวชน ไม่ใช่ไปเล่นบทที่มันไม่ดี ถึงแม้เราจะเล่นดีแค่ไหน แต่มันก็เป็นบทไม่ดีน่ะครับ ผมก็มีตัวเลือกของผมนะ คือระหว่างคุณเอกพันธ์กับผม ถ้าบทแบบนั้นคือเอกพันธ์ แต่ถ้าบทดีๆ ก็ต้องบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์แน่นอน”
       
       “คือในสายตาคนอื่นผมเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่มันอยู่ที่ตัวเองด้วยว่าเป็นคนดีจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการเลือกบทก็ต้องเลือกดีๆ ด้วยนะครับ ขอให้มีคุณค่ากับเรา มีคุณค่ากับสังคมผมเล่นได้หมดแหละ อย่างหนังเทิดพระเกียรติ หนังที่เกี่ยวกับสังคม หนังที่ไม่ได้ตังค์ผมไม่เคยเกี่ยงเลยนะ ผมดูปั๊บโอเคผมเล่นเลย ผมไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้กำกับหรืออะไร แต่ขอให้เป็นหนังสร้างสรรค์สังคมให้กับเยาวชนเป็นสิ่งที่ดี ผมรับเล่นทันทีครับ แต่ตอนนี้ผมก็คงให้ความสนใจกับงานเบื้องหลังมากกว่า งานเบื้องหน้าเก็บไว้ก่อน ถ้าดีๆ ก็ค่อยพิจารณากัน”
       
       บอกยังคงโสดสนิท ไม่มีสาวคนไหนให้ศึกษาดูใจ เพราะตนเป็นลูกคนเดียวของครอบครัวที่ยังไม่แต่งงาน เลยขอสละสิทธิ์อยู่ดูแลแม่ตัวเองดีกว่า
       
       “เมื่อไหร่จะมีครอบครัวเหรอ คำถามนี้ถามผมมาประมาณสัก 5-6 ปีที่แล้ว แล้วทุกวันนี้ก็ยังถามผมอยู่ว่าทำไมเอกพันธ์มีลูก 3-4 คนไปแล้ว แต่ทำไมผมยังไม่มี คือไม่ใช่ว่าผมไม่อยากมีนะ ผมอยากมีครอบครัวเหมือนคนอื่น แต่ตอนนี้ผมทำงานอยู่กับมูลนิธิร่วมกตัญญู ผมทำงานสังคม ทำงานเพื่อส่วนรวม ผมมาคิดดูว่าแล้วตอนนี้แม่อยู่กับผม แล้วแม่แกมีลูก 4 คน แล้วทุกคนก็ไปมีครอบครัวหมดแล้ว เหลือผมคนเดียวถ้าผมจะออกไปกับครอบครัวอีก คุณแม่ก็ต้องอยู่คนเดียว ผมเลยมาคิดว่าผมสละให้พี่น้องไปมีครอบครัวดีกว่า ผมอยู่กับแม่ก่อนดีกว่า เพราะแม่ผมก็คงอยู่ไม่กี่ปี อยู่ได้อีก 20-30 ปี คุณแม่ก็คงจะเสียแล้วล่ะ”
       
       “ถามว่าแม่พูดไหมว่าอยากให้ผมมีครอบครัว เขาก็พูดนะครับ เคยมีคนมาถามว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า เป็นกะเทยไหม เป็นอีแอบไหม หรือว่าอะไรไหม ผมบอกได้เลยว่าผมไม่ได้เป็น ผมอยากมีครอบครัว แต่เมื่อเขามาแล้วบอกว่าพี่ต้องเลิกทำงานเก็บศพ สิ่งแรกที่ผมรับไม่ได้คือจุดตรงนี้ คบๆ กันอยู่เขาก็รู้นิสัยผมนี่ว่า ผมทำงานร่วมกตัญญู แต่พอเอาจริงเอาจังขึ้นมาบอกว่าพี่ถ้าแต่งงานแล้วพี่เลิกทำงานเก็บศพได้ไหม ก็จบข่าวครับ ถ้าคิดว่าการแต่งงานแล้วจะให้ผมออกจากการทำงานเพื่อส่วนรวม เพื่อสังคม ผมไม่เอา ผมอยู่คนเดียวดีกว่า ผมทำงานเพื่อสังคมดีกว่าครับ ผมเป็นลูกผู้ชาย ผมมีความต้องการอยากจะมีลูก อยากจะมีเมียเหมือนกัน”
       
       “คนที่ดูๆ อยู่ก็ไม่มีครับ ไม่มีเลย ผมก็พยายามมองหาแล้วนะ เพราะผมก็จะ 50 แล้วอีก 1-2 ปีนี่แหละ แล้วจะไปดูใครล่ะ ก็ต้องดูคนอายุ 40 แล้ว 40 จะเหลือให้ผมดูเหรอ ใช่ไหมล่ะ หรือจะดู 20 กว่าๆ เดี๋ยวก็หาว่าผมเป็นเฒ่าหัวงู ไอ้หัวงู วัวกินหญ้าอ่อนอีก มันลำบากครับ ก็ช่างมันไม่มีซะดีกว่า ถ้ามันจะมีมันก็จะมาเอง แต่ดวงผมเขาบอกว่าจะได้แม่ม่าย ก็จะรออยู่ว่าแม่ม่ายคนไหน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เจอเลย รออยู่ว่าใครจะเป็นแม่ม่ายคนนั้น แต่ถ้าดวงผมจะได้แม่ม่ายจริงๆ เอกพันธ์นี่ก็ได้แม่ม่ายนะ ดวงเราคงคล้ายๆกัน”
       
       “แต่อย่างแรกเลยคือเขาต้องรับงานของผมให้ได้ก่อน ผมทำงานเพื่อสังคม การเก็บศพบางคนบอกมันเป็นเรื่องต่ำช้า มันเป็นเรื่องไม่น่าทำ ไปเกลือกกลั้วอยู่กับของเน่าๆ เหม็นๆ กับศพคนตาย นั่นคือเขาคิดกันไปเอง แล้วยิ่งถ้าคนจีนด้วยล่ะก็จบเลย ไม่ได้เลยคนจีนเขาห้าม สังเกตไหมล่ะว่าพักนี้เอกพันธ์ไม่ค่อยออกไปเก็บศพ เพราะเมียห้าม เพราะเมียเขาเป็นคนจีนเหมือนกัน เอกพันธ์เลยต้องมางานพวกดับเพลิงแทน แต่งานเก็บศพผมยังดูอยู่ ผมเก็บศพอยู่ตลอด ก็ถือว่าไม่เป็นไร เขาให้เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว ทำงานอย่างนี้แล้ว ถ้ามีก็มีเองแหละครับ”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)