Author Topic: “เจี๊ยบ กาญจนาพร” เมินถูกมองเพี้ยน หลังพึ่งธรรมะผ่านมรสุมแบกหนี้ 3.7 ล้าน  (Read 1090 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“เจี๊ยบ กาญจนาพร” เผยเจอวิกฤตเป็นหนี้ 3.7 ล้านจนเครียด สุดท้ายหันหน้าพึ่งธรรมะปล่อยวางผ่านมรสุมมาได้ หลังรายการ “คนค้นคน” ตีแผ่ชีวิต ฟีดแบคดีมีคนให้กำลังใจเยอะ เฉยๆ ถูกมองเพี้ยน ลั่นอยากทิ้งทางโลก แต่ยังมีห่วงต้องดูแลแม่และลูก
       
       กว่าจะผ่านพ้นช่วงมรสุมชีวิตได้เล่นเอาเกือบแย่ สำหรับดารารุ่นเก๋า “เจี๊ยบ กาญจนาพร ปลอดภัย” ที่ก่อนหน้านี้มีหนี้สินก้อนโตจากการทำธุรกรรมร่วมกับเพื่อน ซึ่งเจ้าตัวไว้วางใจเพื่อนที่รับปากจะจ่ายคืนภาษีในการทำธุรกิจ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามที่รับปากไว้ กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งก็มีหนี้สินพอกพูนถึง 3.7 ล้านบาท จากเงินเพียง 6.8 แสนบาท ทำให้บ้านต้องถูกยึด ขณะเดียวกันงานละครที่ทำอยู่ก็เริ่มมีปัญหา และลูกก็กำลังรอเงินก้อนไปจ่ายค่าเล่าเรียนที่สหรัฐอเมริกา จนวันหนึ่งเจ้าตัวได้ค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิตเลยหันหน้านั่งสมาธิ ณ วัดป่าหนองแสง จ.ยโสธร ที่ช่วยเยียวยาจิตใจของตัวเอง และทำให้ปล่อยวางกับชีวิตมากขึ้น
       
       "กับเรื่องราวตอนนั้นรู้สึกแย่มาก เราอธิบายได้เลยนะว่าความรู้สึกอกจะแตกมันเป็นอย่างไร มันอัดอั้น เราทำดีทุกอย่างแล้วแต่ทำไมมันเกิดขึ้น บ้านถูกยึดความรู้สึกเราคือมันร้ายแรงมาก ยอดเงิน 3.7ล้านบาท ไม่รู้จะเอาเงินมาจากไหน ไม่มีใครเชื่อว่าเราไม่มีเงิน มันอีนุงตุงนังไปหมด มันงง เหมือนถูกชกเลยไม่อยากคุยกับใครเลยแม้กระทั่งลูก จนปัญหาเข้ามามากๆ เราเลยเข้าหาธรรมะ ที่วัดป่าหนองแสง จ.ยโสธร ซึ่งเราเองก็ได้ข้อคิดเตือนสติจากหลวงปู่ที่สอนไม่ให้ยึดติดกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ให้ยึดติดกับบ้านที่ถูกยึด หลังจากนั้นเราก็นำคำพระสอนมาพิจารณาในทุก ๆ วัน จนสามารถผ่านมรสุมนั้นมาได้"
       
       “ซึ่งเราไปทางสายนี้มา 4 ปีแล้ว แต่ที่แน่ๆ คือ 2 ปีหลังหลายคนก็จะพูดว่าเราไปทางนี้แล้ว เราเพี้ยนหรือเปล่า แต่เราก็เฉยๆ ไป จนวันนึงทางรายการอยากตามเราไป เราก็งงว่าจะตามไปทำไม เพราะเราเองก็ไม่คิดว่าเรื่องของเรามันจะเป็นเรื่องเป็นราวได้ พอออกมาแล้วมันเป็นมุมมองของชีวิตมนุษย์ที่เป็นต้นแบบได้อย่างหนึ่ง คือจุดหักเหของเรา มันก็เป็นแบบอย่างให้สำหรับใครหลายๆ คน ที่หลายคนอาจคิดผิดหรือคิดถูก แต่เราเป็นต้นแบบที่คิดถูก ก็เลยรู้สึกว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของเรากลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับคนหมู่มาก หลังจากนั้นก็มีแต่คนเข้ามาแสดงความยินดี ก็มีคนติดต่อเข้ามาขอกำลังใจ เล่นเฟซบุ๊กอยู่ก็มีคนแอดเข้ามาหาเยอะมาก”
       
       เอ่ยปากขอบคุณ “เชค สุทธิพงศ์ ธรรมาวุฒิ” จากรายการ “คนค้นคน” ที่หยิบยื่นความดีให้ตน เผยอยากทิ้งทางโลก แต่ยังมีห่วงต้องดูแลแม่และลูกๆ ตอนนี้เลยหันหน้าเข้าธรรมะได้เพียงแค่ 50 เปอร์เซ็นต์
       
       “เรารู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์มากขึ้น กว่าเดิมที่คิดทำอะไรแค่ส่วนตัว ทำไมมันมีพลังอย่างที่ใครเคยบอกไว้ว่ามันเป็นพลังแห่งความดี ซึ่งมันถ่ายทอดได้ว่าจะเป็นบทเล็กๆ เราก็รู้สึกภูมิใจมาก (ลากเสียง) เพราะเราไม่คิดเลยว่ามันจะดี อยากกอดเชค (สุทธิพงศ์ ธรรมาวุฒิ) มาก ว่าน้องหยิบยื่นความดีให้พี่ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันเป็นความดีส่วนตัว ที่ทุกคนอยากทำอยู่แล้ว”
       
       “คนที่ทำดีแล้วหลบอยู่ก็ยังมีเยอะมาก คนกรุงเทพฯเหมือนหยาบ ไม่ละเอียด คือถ้าละเอียดแล้วคิดถึงพลังนี้ มันจะผลักดันตัวเราเองที่ทุกข์ที่แย่เหลือเกิน ซึ่งมันมีพลังอยู่ที่มันจะผลักดันให้ไปในทางที่ดี ตอนนี้มีความสุขมากที่ได้ปล่อยวางในหลายสิ่ง วางเยอะมากส่วนใหญ่จะทิ้งแล้วด้วยซ้ำ แต่บางเรื่องก็ทิ้งไม่ได้อย่างเช่นเรื่องแม่ ที่ต้องดูแล เรายังห่วงอยู่”
       
       “อย่างเวลาเราไปวัด 10-15 วันก็ต้องเป็นพี่น้องคนอื่นมาดูแล ซึ่งทุกคนก็มีภาระกันหมด ก็แต่งแบ่งๆ แชร์ๆ หรือแม้กระทั่งเราก็ยังมีลูกที่ต้องยังอยู่ในการดูแล ที่เรายังไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ด้วยกัน 4 คนแม่ลูก ตรงนี้เราต้องหายใจลึกๆ แล้วตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด วันนึงถ้าเราได้ไปทางนั้นมากกว่าเดิม สัก 80 เปอร์เซ็นต์ก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้แค่ 50 เปอร์เซ็นต์อยู่ (หัวเราะ) คนในวงการที่ดูชีวิตเราส่วนใหญ่ ดูแล้วก็อึ้งนะ ไม่เชื่อว่าเราจะเป็นได้ถึงขนาดนี้(หัวเราะ)”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)